ปูนกินหมาก ทำมาจากอะไร ?
ปูนแดง หรือปูนกินกับหมากของคนโบราณได้จากการเผาเปลือกหอยจนร้อนจัด สามารถบดเป็นฝุ่นละเอียดสีขาว แล้วเอาไปผสมกับขมิ้น จะให้สีส้มหรือเรียกเป็นสีเฉพาะว่าสีปูน ที่มีสรรพคุณรักษาพิษแมลงสัตว์กัดต่อยเพราะขมิ้นมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง ส่วนปูนจะทำให้ขมิ้นติดผิวหนังดีขึ้น
ดังนั้นเวลาที่นาคปลงผมก่อนอุปสมบท หลังจากโกนผมแล้วจะทาศีรษะด้วยขมิ้นเพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดจากใบมีดโกน
ส่วนผสมในการทำปูนแดง
1. เปลือกหอยแครง
2. เตาไฟ (ใช้เตาถ่านนะ)
3. โอ่งมังกรใบเล็ก (หาฝามาปิดด้วยนะ)
วิธีการทำ
1. เปลือหอยแครงที่กินเสร็จแล้ว แช่น้ำทิ้งไว้ 3-4 อาทิตย์ จากนั้นนำมาขัดเอาเนื้อหอยที่ติดอยู่ข้างในออก และขัดเปลือกด้านนอกให้สะอาด
2. ตั้งเตาไฟให้ร้อนใส่ถ่านเยอะๆ นำเปลือกหอยที่ล้างสะอาดแล้วโยนเข้าเตาไฟ เผาให้เปลือกกลายเป็นสีขาวขุ่นๆ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาพอสมควร
3. นำโอ่งมังกรเล็กๆ ที่เตรียมไว้ ใส่น้ำประมาณ 1/2 ลิตร (กะประมาณว่าน้ำต้องน้อยกว่าครึ่งนึงของเปลือกหอยที่เผา ถ้าปูนข้นเกินเติมน้ำได้ แต่ถ้าน้ำเยอะเละไปไม่ดีค่ะ)
4. นำเปลือกหอยที่เผาได้ที่ทิ้งลงไปในภาชนะที่ใส่น้ำไว้แล้ว จากนั้นนำไม้มาคนๆ เปลือกหอยที่กรอบได้ที่เมื่อโดนน้ำก็จะแตกละเอียดกลายเป็นปูนในที่สุด
5. ถ้าอยากให้ปูนแดงก็ไม่ยาก ใส่น้ำขมิ้นลงไป คนๆ ให้เข้ากัน ได้แล้วปูนแดงไว้กินหมาก หรือ ใครจะเอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นก็ได้ เช่นทำบวชฟักทอง ก็เอาฟักทองหั่นแช่น้ำปูนใสไว้ก่อน จะทำให้ฟักทองไม่เละเวลาทำขนม แต่อันที่จริงปูนแดง หรือไม่แดงก็มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อเหมือนกันนะ แต่น้ำขมิ้นที่ใส่ให้แดงน่ะ เพราะบางคนเค้าชอบให้ปูนแดงๆ เวลากินหมากสีจะได้แดงๆ
รู้วิธีการทำปูนแดงแล้วจะได้ทำไว้ใช้กันเอง เพราะตอนนี้คนไม่ค่อยกินหมากบางที่อาจจะหาซื้อยากแล้ว ก็ทำไว้ใช้เองดีกว่านะครับ ปูนที่ทำนี่น่ะ เก็บได้เป็นปีๆ ถ้าแห้งเอาน้ำหยอดลงไปหน่อยคนๆ ไปก็ใช้ได้แล้วครับ
ประโยชน์ของปูนแดง
๑. รักษาฝี ถ้าฝีที่เริ่มเป็น ให้ทาปูนแดง บริเวณที่เป็นฝีให้ทั่ว รวม ทั้งหัวฝีด้วย หัวฝีจะแห้งในที่สุดจะยุบ แต่ถ้าฝีบวมมากหรือเป็นมานาน แล้ว ให้ทาเฉพาะฐานฝี อย่าทาทับหัวฝี เพราะจะทำให้ปวดมาก เมื่อปูน แห้งลงจะรัดทำให้หนองและหัวฝีออกเร็ว แลหายเร็วขึ้น วิธีที่ใช้ง่าย ที่สุดก็คือ เอาปูนมาผสมน้ำพอข้นๆ ทาแต่วิธีนี้ปุนจะแห้งเร็วเกินไป จึงมักใช้น้ำตาลปีป หรือน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม จำนวนเท่ากับปูนแดง ผสมให้เข้ากัน แล้วจึงทา จะทำให้ปูนแห้งช้าขึ้น ทาวันละ ๒-๓ ครั้ง
๒. แผลไฟไหม้ ใช้ปูนแดง ( ต้องไม่มีสีเสียดปน) นำมาป้ายบริเวณ ที่ถูกน้ำร้อนลวก หรือไฟลวก ป้ายให้หนาๆหน่อย และเมื่อหายก็จะไม่ มีแผลเป็นให้เห็นอีกด้วย หรือใช้ปุนแดงหรือปูนขาวก้อนเท่านิ้วหัวแม่ มือ ใส่ในน้ำเย็น ๑ แก้ว คนให้ทั่ว ตั้งไว้ให้นอนก้น เทน้ำใสผสมกับน้ำ มันมะพร้าว (หรือน้ำมันถั่ว) ทีละน้อยๆ เติมไปคนไป จนน้ำมัน กลาย เป็นฝ้าขาวไปหมด จึงหยุดคน น้ำมันผสมเช่นนี้ ใช้ทาแก้แผลถูก น้ำร้อนลวกได้ดี
๓. รักษาแผล เมื่อถูกมีดบาด หรือของมีคม ใช้ยาสุบ(ยาเส้น) กับ ปูนแดงแล้วปิดปากแผล เลือดจะหยุดไหล และแผลจะหายในเวลาต่อมา ถ้าเป็นแผลใหม่ แต่รู้สึกว่ามีขอบแผลเขียว ท่านให้เอาน้ำมันมะพร้าว พอควร แล้วเอาปุนแดงใส่กวนพอข้น พอปิดแผลอยุ่ หมั่นปิดไม่กี่วัน ทุเลาได้
๔. แผลแตกที่หัวนม เอาน้ำปูนใส กับน้ำอย่างละเท่าๆกัน เขย่า ให้เข้ากันดี ทาแผลที่แตกที่นม
๕. แก้โรคบิด เอาเนื้อมะขามเปียก ตำให้ละเอียดผสมกับปูนแดง พอควร ปั้นเป็นลูกกลอน กินวันละ ๓ เวลาก่อนอาหาร โรคบิดจะหาย ไป
๖. แก้แผลทากหรือปลิงกัด เอาปูนขาวหรือปูนแดง ที่กินกับหมาก ทาตรงบาดแผลนั้น เลือดจะหยุดไหลทันที
๗. รักษาน้ำกัดเท้า ใช้ปุนแดงผสมน้ำมันมะพร้าวพอควร แล้วทา ก่อนลงน้ำทุกครั้ง น้ำจะไม่กัดเท้าอีกเลย ที่กัดแล้วก็จะหายไปหมด
๘. แก้หูด ดูว่าหูดเม็ดไหนขึ้นก่อนเพื่อน เกาให้เลือดซึม แล้วนำปูน แดงทาทับไว้ ไม่ให้เลือดซึมออกมา เพราะถ้าซึมออกมาถูกบริเวณอื่น มันจะลุกลามทำไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าก็จะหาย
๙. รักษาโรคผิวหนัง เอาปุนแดงปันเป็นก้อน แล้วนำไปเผาไฟ ให้สุกดี แล้วละลายกับน้ำมันหมู ใช้ทารักษาโรคผิวหนังทั่วไป
๑๐. แก้คันในที่ลับ เอาน้ำปูนใสกับน้ำอย่างละเท่าๆกัน เขย่าให้เข้า กันดี ใช้ทาแก้คันในที่ลับ ฉีดล้างช่องคลอด
๑๑. แก้กลิ่นเต่า นำตำลึงสดๆ(เถาหรือใบก็ได้) ตำผสมกับปูนแดง ปริมาณไม่ต้องมาก ทาที่รักแร้ กลิ่นที่เคยมีก็หมดไป
๑๒. แก้พิษแมลงกัดต่อย เอาปูนแดงป้ายที่แผล จะทุเลาอาการเจ็บ ปวดและยุบบวม
๑๓. แก้พิษแมงกะพรุนไฟ ให้ทาด้วยน้ำปูนใสบ่อยๆ
๑๔. แก้ยุงกัด ใช้ปูนแดงแต้มบริเวณที่ถูกกัดเบาๆ นิดเดียวจะไม่คัน และไม่ขึ้นตุ่ม
๑๕. แก้ข้ออักเสบ ใช้น้ำละลายปุนแดง ทาบริเวรเข่า จะช่วยลด การอักเสบ ทำให้หายเร็วขึ้น
๑๖. แก้ถูกยาเบื่อ ใช้น้ำปุนใสขนาด ๑ ถ้วยชา กินแก้ถูกยาเบื่อ และของเมาต่างๆหาย
(ขอบคุณภาพ/แหล่งที่มา: ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและพระพุทธศาสนา )
เจาะเวลาหาอดีต