คำพูดดีๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากพ่อแม่ เพื่อสร้างกำลังใจ
1. พ่อแม่รักลูกนะ
การบอกรักลูก เป็นคำพูดที่ทรงพลังและมีความหมายที่สุด เพราะความรักที่ดีที่สุดคือการเริ่มต้นจากที่บ้าน หากลูกไม่เคยได้ยินคำบอก “รัก” ออกจากปากพ่อแม่ก่อน ก็ไม่รู้แล้วล่ะว่าลูกจะได้ยินคำนี้จากใคร

2. พ่อแม่ภูมิใจในตัวลูกนะ
การให้คำชม เมื่อลูกทำสิ่งที่ถูกต้องหรือดีงาม เป็นรางวัลที่ดีที่สุดมากกว่าการซื้อของขวัญให้เป็นการตอบแทน เพราะนั่นจะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และพยายามทำสิ่งที่ตั้งใจได้อย่างประสบความสำเร็จ
3. พูด “ขอโทษ” แบบไม่ต้องอายลูก
ใครๆ ก็สามารถทำผิดได้เหมือนกันหมด การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” ในยามที่พ่อแม่ผิด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก เพราะเขาจะได้เรียนรู้ว่า หากการกระทำใดๆ ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ (หรืออาจจะตั้งใจ) การขอโทษ คือสิ่งที่ควรทำอันดับแรก
จำไว้ว่าเด็กๆ เรียนรู้เพียงเล็กน้อยจากสิ่งที่เราพูด แต่พวกเขาจะเรียนรู้มากขึ้นจากสิ่งที่เราทำ และจะเรียนรู้มากที่สุดจากสิ่งที่เราเป็น

4. แม่ให้อภัยลูกจ้ะ
เด็กยิ่งโตก็ยิ่งเริ่มมีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และที่ตามมาคือการกระทำแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งอาจจะทำให้คุณพ่อคุณแม่โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ยังไงลูกก็เป็นลูกของเราเสมอ พ่อแม่ยินดีที่จะกล่าวคำว่า “ให้อภัยลูก” และให้เหตุผลต่อลูก เด็กๆ จะเรียนรู้และไม่พยายามที่จะทำผิดพลาดอีก
5. แม่คอยรับฟังลูกอยู่เสมอนะ
เมื่อลูกกำลังเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มมีโลกส่วนตัวและเป็นตัวของตัวเอง พ่อแม่ก็เริ่มที่จะไปบังคับหรือสอนให้ลูกทำอะไรไม่ได้เหมือนตอนเล็กๆ แล้ว แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ดีที่สุดสำหรับลูกวัยนี้ก็คือ การตั้งคำถามให้คิดและการพร้อมที่จะยอมรับฟังลูกใน “ทุกเรื่อง” ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกสามารถตัดสินใจได้อย่างมีวุฒิภาวะและเชื่อมั่นในตนเอง

6. นี่คือสิ่งที่ลูกต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
พ่อแม่ไม่ควรช่วยลูกแก้ปัญหาไปหมดทุกอย่าง เพราะการเข้าไปแก้ปัญหาให้ลูก แทนที่จะคอยดูอยู่ห่างๆ เพราะความที่ห่วงใย จะทำให้ลูกเข้าใจว่าเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรให้ลูกพยายามลองแก้ปัญหาในสิ่งที่เขาทำผิดหรือควรที่จะรับผิดชอบ และ เราควรจะเป็นแม่ไก่ที่คอยดูลูกไก่เขี่ยหาอาหารเองอยู่ห่างๆ โดยไม่เข้าไปช่วย ควรจะเป็นเหมือนโค้ชที่คอยสอนลูกอยู่ข้างสนามเมื่อเขาต้องลงแข่งขันเอง คอยเชียร์ คอยเป็นกำลังใจและให้คำแนะนำ สิ่งที่หัดให้ลูกรู้จักรับผิดชอบด้วยตัวเอง จะทำให้เขามีความเข้มแข็งและรู้จักแก้ปัญหาเองได้
7. ลูกอยากเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น
การที่ลูกเติบโตจะเป็นอะไร เป็นสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนมักจะคาดหวังและตั้งความหวังในตัวลูก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรับรู้ในความสามารถ และเชื่อมั่นในตัวของลูก มากกว่าการที่พ่อแม่ต้องการให้เป็น เมื่อถึงเวลาเราสามารถบอกลูกได้ว่า “ลูกอยากจะเป็นอะไรก็ได้” พ่อแม่จะเป็นคนคอยสนับสนุนในสิ่งที่ลูกอยากเป็น เพื่อให้เขาสามารถเตรียมตัวและพร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์ต่อการไปสู่เป้าหมายและความฝันของเขาในอนาคต

เป็นยังไงกันบ้างเราเคยพูดกับลูกบ้างรึเปล่าถ้าคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนยังไม่เคยพูดอย่าลืมพูดพร้อมแสดงความรัก ให้เค้าได้อุ่นใจกันด้วยนะคะ
ข้อมูลจาก theasianparent อ่านต้นฉบับ
Ⓜ️ เรื่องที่น่าสนใจ |

พ่อแม่ทุกคนก็อยากที่จะให้ลูกๆ ที่น่ารักของเราเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมที่ดี การปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีแก่ลูกน้อยตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ลูกประสบความสำเร็จในอนาคตได้ก่อนจะสายเกินไป วันนี้เรามีข้อแนะนำถึงการสร้างนิสัยที่ดีที่จะติดตัวลูกไปจนตลอดชีวิต มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย.. 1. สร้างนิสัยความซื่อสัตย์ เพราะความซื่อสัตย์หากมีติดตัวไว้ เชื่อเลยว่าไปที่ไหนก็จะมีแต่คนรัก ลูกของคุณจะฟังคำพูด คำสอน และจดจำคำแนะนำต่างๆ จากคุณ ดังนั้นคุณควรสอนให้ลูกพูดความจริงอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงการโกหกทุกประเภทไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กเพียงใดก็ตามที่คุณอาจคาดไม่ถึง เช่น การพูดกับลูกว่า “อย่าไปบอกพ่อนะว่า วันนี้พวกเราได้กินลูกอมไปกันคนละเม็ด” หรือถ้าหากคุณจับได้ว่าลูกของคุณได้พูดโกหก คุณไม่ควรที่จะดุหรือแสดงท่าทีโมโหมากจนเกินไป รวมถึงควรสอนบทเรียนที่สำคัญให้กับลูก เพราะว่าแม้การพูดความจริงอาจจะไม่ง่ายและลำบากใจตนเอง แต่มันจะทำให้คนอื่นๆ รู้สึกดีเมื่อได้รู้ความจริง 2. สอนลูกให้เข้าใจคุณค่าของความล้มเหลวและความพยายาม พ่อแม่จึงต้องอบรมและสั่งสอนลูกเรื่องความผิดพลาดว่าสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ลูกก็ต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้ แล้วลูกจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่พ่ายแพ้ เพราะคนเราไม่จำเป็นต้องชนะทุกอย่าง แต่การเรียนรู้ที่จะเติบโตผ่านประสบการณ์ นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า 3. สร้างนิสัยความกล้าหาญ คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนลูกในการทำสิ่งต่างๆ และเมื่อลูกทำสิ่งใดเสร็จก็ควรกล่าวชื่นชมอย่างเหมาะสม รวมถึงให้คำเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมา หรือในกรณีที่ลูกกลัวที่จะทำสิ่งใด เช่น ลูกจะออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่น แต่ไม่กล้าที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้คำแนะนำและให้กำลังใจลูก เช่น บอกให้ลูกหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไปแนะนำตัวกับเพื่อนๆ และเมื่อลูกทำสำเร็จ คุณสามารถกล่าวชื่นชมลูกว่า…

พ่อแม่รังแกฉัน เป็นคำที่ได้ยินกันมาอย่างช้านาน และแน่นอนว่า คงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่อยากเลี้ยงลูกแบบนั้น แต่บางครั้งมันอาจแฝงอยู่กับพฤติกรรมการเลี้ยงของเราแบบไม่คาดคิด วันนี้เราเลยทำแบบสอบถามมาให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำกันดู จะได้สำรวจตัวเองว่ามีวิธีการเลี้ยงลูกแบบไหนที่เราเผลอทำโดยไม่รู้ตัวรึเปล่า 1. คุณตามใจลูกจนเกินไป พ่อแม่ที่ยอมให้ลูกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกจะขออะไรก็ให้ไม่เคยขัด แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เหมาะ ไม่ควรก็ตาม อีกทั้งยังไม่มีการจำกัดขอบเขตหรือข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น การทำแบบนี้จะทำให้ลูกกลายเป็นคนมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรต้องได้ ใครขัดใจไม่ได้ จึงทำให้เป็นคนมีนิสัยก้าวร้าว เห็นแก่ตัว 2. คุณไม่ให้ลูกลองทำอะไรด้วยตนเองบ้าง พ่อแม่ย่อมรักและหวังดีกับลูกอยู่เสมอ ไม่อยากให้ลูกลำบาก จึงมีพ่อแม่บางคนที่คอยดูแล ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นป้อนข้าว เตรียมเสื้อผ้า จัดกระเป๋าหนังสือ หรือแม้แต่นั่งทำการบ้านให้ลูก ลูกแทบจะไม่ต้องทำอะไร เพราะพ่อแม่คอยทำให้ทุกอย่าง การทำแบบนี้จะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักช่วยตัวเอง มีแนวโน้มจะเป็นเด็กติดสบาย ขาดความมุ่งมั่น ขาดความพยายามในเรื่องต่างๆ อาจจะไม่มีความมั่นใจว่าจะทำอะไรได้เอง เพราะแทบไม่เคยมีโอกาสได้ทดลองทำด้วยตัวเอง 3. คุณเข้มงวดกับลูกมากเกินไป การที่ให้ลูกอยู่ในกฎระเบียบ เชื่อฟังคำสั่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่ามากเกินไปนั่นอาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด เพราะการเข้มงวดกับลูก ลูกต้องทำทุกอย่างที่พ่อแม่สั่งเป๊ะๆ ตารางชีวิตแน่นเอียด ไม่ได้ออกไปเล่นหรือทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ เลย อาจทำให้เด็กปรับตัวเข้ากับสังคมได้ยาก เพราะมีแรงกดดันมาบีบบังคับให้เขาทำแบบนั้น…

ลูกรัก ยามที่พ่อแม่แก่ตัวลงหวังว่าลูกจะเข้าใจและอดทนกับพ่อแม่ได้ ในขณะที่ทำจานตกแตก หรือทำน้ำแกงหกเลอะเทอะบนโต๊ะอาหาร นั่นเป็นเพราะว่าสายตาของพ่อแม่เริ่มไม่ค่อยดี หวังว่าลูกคงไม่แผดเสียงใส่ คนแก่แล้วมักมีอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย และรู้สึกสังเวชตัวเองหากลูกตำหนิด้วยน้ำเสียงนั้น เมื่อหูเริ่มสูญเสียการได้ยินก็จะไม่รู้ว่า.....ลูกพูดว่าอะไร หวังว่าลูกไม่เรียกพ่อแม่ว่า “คนหูหนวก” แต่จงใช้วิธีพูดซ้ำอีกครั้งหรือไม่ก็เขียนให้เราอ่าน เพื่อเราจะได้ไม่เสียใจกัน ขอโทษนะลูกรัก พ่อกับแม่แก่แล้ว เมื่อข้อเข่าเริ่มอ่อนแรงก็หวังว่าลูกจะเป็นผู้ช่วยประคับประคองให้ลุกขึ้นได้เหมือนกับตอนที่พ่อแม่เคยช่วยให้ลูกหัดเดินในตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ จงอดทนกับพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่ต้องทำอะไรซ้ำๆราวกับเครื่องบันทึกที่เสื่อม หวังเพียงว่าลูกยินดีจะรับฟัง ไม่นำมาล้อเล่นหรือเบื่อที่จะรับฟัง จำได้ไหม? เมื่อลูกยังเด็กและต้องการจะเอาลูกโป่ง ลูกก็ร้องอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนลูกได้มันมาครอบครอง ขอโทษสำหรับกลิ่นสาบกายของคนแก่ อย่าเคี่ยวเข็ญให้พ่อแม่ต้องอาบน้ำเพราะว่าร่ายกายอ่อนแอมาก คนแก่จะเจ็บป่วยได้ง่ายเมื่อรางกายต้องโดนกับสภาพของน้ำที่เย็น หวังว่าจะไม่เป็นที่รังเกียจของลูก จำได้ไหม..เมื่อลูกยังเด็ก พ่อแม่ต้องตามไล่จับลูกเพราะลูกไม่ชอบอาบน้ำ หวังว่าลูกอดทนมากขึ้นกับพ่อแม่ที่มักมีอารมณ์ที่ไม่คงเส้นคงวามันเป็นส่วนหนึ่งของการชราภาพ ถ้าลูกมีเวลาว่าง พ่อแม่ก็อยากจะพูดด้วยแม้จะไม่กี่นาทีก็ตาม พ่อแม่รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวตลอดเวลาและไม่มีใครคอยคุยด้วย รู้ว่าลูกยุ่งอยู่กับงาน จนอาจไม่มีเวลามาใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ขอเวลาลูกสักนิด...เท่านั้น ลูกจำได้ไหม? เมื่อลูกยังเด็กที่พ่อแม่ต้องคอยฟังเรื่องเล่ามากมายกับหมีน้อยของลูก เมื่อเวลาผ่านไป พ่อแม่แก่ตัวลงและต้องล้มหมอนนอนเสื่อ หวังว่าลูกจะอดทนที่จะดูแลพ่อแม่ ต้องขอโทษลูกอย่างมาก หากปัสสาวะรดที่นอนโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเป็นเหตุให้สกปรก หวังว่าลูกอดทนพอที่จะดูแลพ่อแม่จนวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะพ่อแม่คงไม่ได้อยู่นานจนเกินไป เมื่อเวลาที่พ่อแม่ละจากวัฏสงสาร คืนร่างกายสู่ธรรมชาติ พ่อแม่หวังว่า ลูกจะคอยกุมมือพ่อแม่ไว้ ให้กำลังใจพ่อแม่เผชิญกับวาระสุดท้ายอย่างสงบ…