วัยชรา ลุงกลับหรือเสือกลับ คำทอง อยู่ที่บ้านทุ่งจันทน์หอม ตำบล บ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง
ลุงเสือกลับ เกิดที่ตำบลเขาวิเศษ อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง วันหนึ่งนายกลับ คำทอง กำลังตำข้าวอยู่กับพี่สาวของแก และเกิดมีปากเสียงกับพี่เขย พี่เขยเดินเข้ามาด่าแม่และตบหน้าแก ๑ ที ลูกผู้ชายโดนตบหน้าด่าใส่แม่ของตนอย่างนั้นเกิดความโกธสุดขีด สากตำข้าวที่กำอยู่ในมือนั้นหนักพอดูแต่เมื่อความโกรธขึ้นหน้า สากก็กลายเป็นอาวุธฟาดโครมเข้าที่ตัวพี่เขย ตายคาก้นครกตำข้าว เมื่อได้สติคืนมา กลับ คำทอง ก็รู้ว่าเขาฆ่าพี่เขยตายจะต้องถูกจับกุมไปดำเนินคดีรับอาญาแผ่นดิน จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไป
นายกลับ คำทอง ไปอยู่เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ได้ศึกษาวิชาดีทางไสยศาสตร์กับพระอาจารย์ปาล เจ้าสำนักวัดเขาอ้อจนมีความเชี่ยวชาญ เมื่อพระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม มรณภาพแล้วจึงย้ายมาศึกษาต่อกับพระอาจารย์เอียด ปทุมสโร ที่วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นสาขาของวัดเขาอ้อ (เขาเอาะ) วิชา ที่นายกับเสือกลับ ได้รับการถ่ายทอดมาจากสำนักเขาอ้อ และวัดดอนศาลานั้น นับว่าสุดยอดทีเดียว โดยเฉพาะสามสี่วิชาหลักที่เรียนมาจนชำนิชำนาญก็คือ ๑ วิชาเมตามหานิยม ๒ วิชาอยู่ยงคงกระพัน ชาตรี ๓ วิชากำบังตาแบบหายตัวได้ ๔ วิชาหมอยาเขาอ้อ
ลุงเสือกลับนั้น ลักษณะร่างกายล่ำสันแข็งแรง ถึงแม้ว่าตอนที่อายุมากแล้วก็ตาม เนื้อตัวค่อนข้างดำ นัยน์ตาดุ คล้ายๆ ตาของขุนพันธรักษ์ หรือตาของหลวงอดุลย์เดชจรัส อดีตอธิบดีกรมตำรวจของขุนพันธรักษ์ราชเดช ลุงกลับเป็นศิษย์เขาอ้อแล้วมาเรียนต่อที่วัดดอนศาลา เป็นศิษย์วัดดอนศาลารุ่นพี่ของขุนพันธ์ การเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันนี้เอง จึงทำให้ทั้งสองต้องรักษาสัจจะที่อาจารย์เจ้าสำนักสั่งสอนไว้ หลวงพ่อเอียดวัดดอนศาลา หรือหลวงพ่อปาล ปาลธัมโม ไม่แน่ชัด เคยสั่งขุนพันธไว้ว่า“ฝากไอ้กลับมันด้วย อย่าทำร้ายมัน เพียงตักเตือนก็พอ” ชะรอยหลวงพ่อผู้เป็นอาจารย์จะล่วงรู้ว่าศิษย์คนหนึ่งเป็นตำรวจมือปราบ ส่วนอีกคนเป็นนักเลง เป็นเสืออาจจะต้องฆ่าแกงกันเข้ามิวันใดก็วันหนึ่งก็เป็นได้
ลุงเสือกลับมีภรรยาอยู่ที่พัทลุงชื่อนางหมิก บ้านอยู่กลางทุ่งนา และมีลูกอยู่ที่นั่น มีอาชีพทำนาเลี้ยงชีพ บ้านเรือนอยู่ห่างกัน บางครอบครัวก็ยากจนมีแต่บ้านพักอาศัย แต่ไม่มีที่ดินทำนาเป็นของตัวเองต้องทำนาแบ่งข้าวกับเจ้าของนาคนละครึ่ง บางปีฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาลก็ไม่ได้ทำนา ครอบครับของลุงเสือกลับ คำทอง ก็เช่นเดียวกัน วันหนึ่งมีคนรวยริมชานเมืองพาเจ้าหน้าที่ไปยึดที่ของชาวบ้านแถบนั้น จะขอผ่อนผันอย่างไรเขาก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้
ลุงเสือกลับพกเอาความคับแค้นใจนั้นไว้คนเดียวนาน ๑ เดือน ในที่สุดวิชาที่ติดตัวมาก็ถูกนำมาใช้ เมื่อตัดสินใจไปบ้านคนรวยที่มายึดที่ดินชาวบ้านก่อนนั้นในยามดึกสงัดของ ราตรีนั้น ลุงเสือกลับเล่าว่าแกใช้การรมยาสลบเจ้าบ้าน แล้วงัดประตูบ้านเข้าไปข้างในขนเอาของมีค่า รวมทั้งเอกสารหลักฐานการกู้เงินของชาวบ้านไปจนหมด เงินทองและเอกสารการกู้เงินเหล่านั้นลุงเสือกลับก็นำไปคืนให้กับคนที่เดือด ร้อนจนทั่ว ทำให้ชาวบ้านรักและนับถือลุงกลับเป็นอันมาก นั่นคือจุดเริ่มต้นการเป็นเสือของ กลับคำทอง
วันหนึ่ง ลุงเสือกลับแกได้ไปที่จังหวัดตรัง ตำบลเขาวิเศษ เพื่อเยี่ยมพี่สาว ซึ่งพี่สาวแต่งงานใหม่แล้ว
ลุงเสือกลับจึงได้รู้จักกับพี่เขยคนใหม่ คุยกันถูกคอดี ลุงเสือกลับก็ได้มีภรรยาใหม่อีกคนที่จังหวัดตรัง อยู่กินมาหลายปีจนมีลูกชาย อีกคน ต่อมา ลุงเสือกลับไปอยู่ที่ตำบลน้ำผุด อ.เมืองตรัง ก็มีเมียที่นั่นอีกคน
แต่คดีเก่าที่ฆ่าพี่เขยคนแรกยังไม่หมดอายุความ
ลุงเสือกลับก็รู้ตัวว่าเจ้าหน้าที่กำลังตามจับอยู่ แกจึงตัดสินใจปล้นอีกครั้งที่จังหวัดตรัง นำเอาเงินที่ปล้นได้ไปให้ครอบครัวทั้งสองและเพื่อนบ้านที่เดือดร้อน จากนั้นแกก็หนีย้อนกลับไปอยู่กับภรรยาที่พัทลุง
เมื่อตอนที่กลับไปอยู่พัทลุงนั่นเอง วันหนึ่งขณะที่แกทำรั้วคอกวัวอยู่นั้นก็มีคนไปถามหาคนชื่อกลับอยู่ไหน แกก็ชี้มือไปที่บ้านของตัวเอง คนผู้นั้นก็ย้อนถามอีกว่า นายกลับอยู่หรือไม่? ลุงเสือกลับบอกว่าแกไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้า คนผู้นั้นก็เดินเข้าไปที่บ้านมารู้ภายหลังว่าเขาผู้นั้นคือ ขุนพันธ์ตำรวจมือ ปราบพัทลุงนั่นเอง เมื่อขุนพันธ์สอบถามที่บ้านรู้ความว่านายกลับ คำทองกำลังตอกเสาทำรั้วคอกควายอยู่ รู้อย่างนั้นขุนพันธ์ก็รีบถอยกลับกลับไปหาตัว เสือกลับ คำทอง ทันที ขุนพันธ์วิ่งไปหาเสือกลับ หมายจะจับตัวให้ได้ จนในที่สุดเกิดประชิดตัวต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันนาน ท่านขุนพันธ์เก่งมวยและยูโด แต่ตัวเล็กกว่าลุงกลับ ลุงกลับใช้ความได้เปรียบในเรื่องร่างกายวิ่งหนีการจับกุมของขุนพันธ์ไปได้ ช่วง ๑ คันนาเดียวก็มองไม่เห็นตัวลุงกลับเลย ทั้งๆที่บริเวณนั้นเตียนโล่งแท้ๆแล้วลุงกลับก็หนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
ลุง เสือกลับหนีขุนพันธ์กลับจังหวัดตรังอีกครั้ง โดยไปนั่งรถยนต์โดยสาร สายพัทลุง-ตรัง ซึ่งลุงเสือกลับเล่าว่าสมัยนั้นมีเพียงคันเดียว คือไปเช้า-กลับเย็น ครั้นรถมาถึงหน้าวัดโคกพิกุล(วัดโคกยาง ) ลุงเสือกลับบอกให้รถหยุด แกลงจากรถจ่ายค่าโดยสาร ๒ บาทเรียบร้อยแล้ว
ในรถคันที่ลุงเสือกลับนั่งมานั้น มีตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งนั่งมาด้วย เขาคือ ร.ต.อ.ยุทธ์ ประภาวัฒน์ นั่นเอง(ชาวบ้านเรียกท่านว่า นายร้อยสายหยุด) ท่านผู้กำกับตำรวจเมืองตรัง จำหน้าลุงเสือกลับได้ จึงตะโกนเรียกให้หยุด ลุงเสือกลับเดินไปเรื่อยๆโดยไม่ยอมทำตามเสียงเรียกร้องของผู้กำกับยุทธ์แก เดินไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผู้กำกับจึงรีบวิ่งลงจากรถไล่ตามไป ทันทีแต่ก็มองไม่เห็นตัวเสือกลับเสียเลย ลุงเสือกลับหนีไปหาเพื่อนเกลอที่บ้านยางน้อยก่อนที่จะเลยไปอยุ่กับภรรยาที่ ตำบลน้ำผุด
ในช่วงระยะเวลาที่ลุงเสือกลับมาอยู่จังหวัดตรัง ตำบลน้ำผุดนั้น เข้าใจว่าน่าจะหมดอายุความในคดีที่ฆ่าพี่เขยแล้ว ก็ปรากฏว่ามีผู้ที่เคารพนับถือในวิชาความรู้ที่ลุงเสือกลับได้รับมาจากเขาอ้อและดอนศาลา จึงมีผู้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลายคน เช่น เสือริม ส.ต.ท.สว่าง และปลัดละม่อม หรือปลัดณรงค์ ณ ถลาง โดยเฉพาะศิษย์ที่มีชื่อว่า สิบตำรวจโทสว่าง นั้นลุงเสือกลับเป็นผู้ลงเลขยันต์ให้กินและทาน้ำมันมนตร์จนเนื้อหนังแน่น เหนียว อยุ่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า ลุงเสือกลับได้รับการยกย่องนับถือในบรรดาศิษย์เป็นอันมาก เสือริมซึ่งเป็นศิษย์สำคัญของลุงกลับนั้น เป็นผู้ที่ได้รับการลงอาคมให้พร้อมทั้งได้มอบลูกไข่(อัณฑะ )คนเป็นเหล็กให้อีกด้วย ตอนที่มอบให้เสือริมยังเป็นตำรวจเกณฑ์ไม่ได้เป็นเสือ ต่อมาภายหลังจึงมีเหตุให้เขากลายเป็นเสือริม
สิบตำรวจตรีริม ถูกผู้ร่วมงานที่ สภ.อ.เมืองกลั่นแกล้ง ใส่ความจนถูกทางผู้บังคับบัญชาเรียกสอบสวน ทำให้สิบตำรวจริมมีความโกรธแค้นผู้ใส่ร้ายและได้ฆ่าผู้นั้นตาย และก็หนีเตลิดเข้าป่าไปกลายเป็นเสือในที่สุด
วันหนึ่งขณะที่ นายเจิม ชำนาญ นอนเฝ้าควายอยู่กลางทุ่งนา ตอนดึกคืนนั้นได้ยินเสียงเรียกว่า ไอ้ไข่ลุกขึ้นเร็วๆ รีบสุมไฟเร็วๆ เมื่อนายเจิมสุมไฟลุกโพลง เสือริมกับเสือกลับขึ้นไปนอนอยู่บนแคร่สูงประมาณ ๑ เมตร ร่างกายมีรอยตะปุ่มตะป่ำเต็มหลังไปหมด นายเจิมถามว่าเป็นอะไร
เสือริมตอบว่าถูกต้อไช(หมายถึงถูกตัวต่อต่อย) แล้วแกก็เล่าให้ฟังว่า ถูกหักหลัง คือสายเสือให้ไปปล้นคนชื่อ พุ่ม ที่บ้านโคกพลา ตำบลโคกหลอ อ.เมืองตรัง แล้วมันไปแจ้งตำรวจ คนที่เข้าปล้นมีอยุ่ ๕ คนนายพุ่มเจ้าทรัพย์ไม่ยอม จึงเอาดาบฟันลุงเสือกลับ คำทองแต่ไม่เข้า เสือริมจึงเตะล้มลง
เสือกลับ ห้ามเสือริมไว้ว่าอย่าทำ แต่ลูกน้องคนอื่นๆเอาดาบแทงนายพุ่มก็ไม่เข้าเช่นกัน ลูกน้องอีกคนหนึ่งเอาหอกแทงเข้าช่องทวารหนักจนล้มลงขาดใจตาย เมื่อกวาดทรัพย์ไปได้แล้ว ลูกน้อง ๓ คนที่ทำร้ายเจ้าทรัพย์ก็รีบหอบเอาทรัพย์ที่ปล้นได้ไปก่อน ส่วนเสือริมวิ่งตามลุงเสือกลับไปภายหลัง ก็ถูกตำรวจยิงด้วยปืนกลเบาบ้าง ปืนพระราม บ้างสามคนนั้นตายหมดพร้อมกับนอนกอดทรัพย์ที่ปล้นมาได้
ส่วนเสือริมและลุงเสือกลับหนีรอดไปได้ และก็มานอนย่างกระสุนดังกล่าวแล้วข้างต้น ตอนใกล้สว่างทั้งสองเสือจากไปพร้อมกับสั่งว่า ห้ามบอกใครเป็นอันขาด
ปี พ.ศ.๒๔๙๙ ต้นปี นายเจิม ซึ่งทำงานรับราชการในหน่วยงานหนึ่ง สังกัดกระทรวงการคลัง พอขึ้นบนศาลากลางจังหวัดตรัง ตำรวจยามได้บอกว่า เมื่อคืนตำรวจได้ทำการจับกุมเสือกลับได้ และคุมขังอยู่ที่โรงพัก พอตอนเที่ยงวันไปดูที่ห้องขังส.ภ.อ.เมือง เห็นนอนอยู่จริง นายเจิมจึงไปซื้อของที่ตลาดคือ ข้าวมันไก่ ๑ ห่อและกาแฟเย็นขึ้นไปเยี่ยมที่ห้องขัง เมื่อตำรวจตรวจห่ออาหารเรียบร้อยแล้วจึงอนุญาตนำเข้าเยี่ยม แกกำลังหิวพอดี แต่ก็นั่งดูอยู่พักหนึ่งจึงได้กินเสร็จแล้วแกเล่าให้ฟัง ดังนี้
ศิษย์รักของแกที่ชื่อนายละม่อมหรือปลัดณรงค์ ได้เคยให้แกทำนายวัวชนะว่าวัวสีอะไรชนะ แกเคยบอกให้ชนะมาตลอด ในวันหนึ่งก็นัดแนะกับแกอีกครั้งให้ไปที่บ้านพักของคุณบุญนาค แกขึ้นบันไดบ้าน เมื่อขึ้นสุดขั้นบันไดก็มีคนผลักแกตกบันไดแล้วมีผู้โยนผ้านุ่งผู้หญิงที่ติด เลือดประจำเดือนครอบลงบนหัวแก แกร้องสุดเสียงว่า ทำไมทำกันอย่างนี้ ก็พอดีตำรวจที่คอยทีอยู่แล้ว ยศ ร.ต.ต.(อย่าออกชื่อเลย เพราะเป็นพี่ชายของเพื่อน) เอาไม้ที่รองขั้นบันไดทุบหัวแกแล้ว แกล้มลง เลือดเต็มหัว แกนั่งนิ่งไม่ไหวติง คล้ายกับนั่งทำสมาธิและถูกใส่กุญแจมือแกเล่าพลางน้ำตาไหลซึมเต็มเบ้าตา แกถูกขังอยู่บนโรงพักจนหมดเวลาที่จะคุมขังจึงทางอัยการของผลัดฝากขังต่อที่ เรือนจำ ระหว่างที่อยู่ เรือนจำนั้นก็ได้พบกับเสือริมซึ่งต้องคดีปล้นฆ่าคนจีนซึ่ง เป็นคนของเสี่ยกิ้ม แซ่โค้ว(นายพลกิ้ม )ลุงเสือกลับพยายามที่จะหาโอกาสที่หนีออกจากคุก แต่อาคมต่างๆเสื่อมหมดแล้ว
บังเอิญมีหมอตำแยคนหนึ่งติดคุกในคดีทำแท้งจนคนท้องตาย ลุงเสือแกขอร้องให้ช่วยทำพิธีเกิดใหม่ให้ทีให้แกที ผู้คุมคนหนึ่งสงสารแกเปิดโอกาสให้กระทำพิธีได้ มีการใช้หุ่นทำคลอดตามแบบฉบับพวกนักโทษก็ช่วยกันอุ้มแกอาบน้ำอุ่น และแกก็ท่องอาคมไปตลอด และร้องอุแว้ๆ เหมือนเด็กจริงๆ แล้วก็ช่วยหามแกขึ้นเปลเห่ช้า ซึ่งหมอคลอดเขาร้องเพลงกล่อมเอง
เมื่อ ลุงเสือกลับทำพิธีเกิดใหม่แล้ว ก็ได้ชวนพวกนักโทษเด็ดขาดว่าใครจะออกไปบ้างแกจะพาหนี
แต่ผู้ที่อยู่ในระหว่างสู้คดีแกจะไม่ชวน ปรากฏว่าอยากหนีมี 5คน รวมทั้งแกเอง เสือริมไม่ยอมหนีเพราะแกมีทางสู้คดี ในจำนวน ๕ คนนั้นมีเสือน้ำ เรียบร้อย พร้อมพรรคพวกอีก ๓ คนซึ่งต้องคดีเป็นโจรสลัดถูกพิพากษาโทษเด็ดขาดแล้ว พอได้ฤกษ์ยามดี ลุงเสือกลับจึงทายาที่ประตูชั้นในบริกรรมอาคมเสร็จก็สะเดาะกุญแจคุกทั้งสอง ประตูออกมาโดยไม่มีใครเห็น พอขึ้นถึงควนหลังจวนผู้ว่าฯ ก็เดินเข้าป่าสวนยางพาราแล้วก็ตัวใครตัวมัน ลุงเสือกลับนั้นหนีไปอยู่ บ้าน ต.น้ำผุด และอยู่จน ถึงอายุขัยที่นั่น
ข้อมูล :: นายเจิม ชำนาญ