” กูไม่ใช่พวกใส่ชุดขาวหลับตา เพื่อสร้างภาพ กู เป็นเพียงแค่ฅนบาปที่ผ่านมา “ เสือกลับ เคยกล่าวไว้
นายกลับ ดำทอง ชาวอำเภอทับเที่ยง จังหวัดตรังเป็นผู้ร้ายมาตั้งแต่สมัยดำ หัวแพร รุ่งดอนทราย สมัยรัชกาลที่ ๖ เจ้าหน้าที่จับไม่ได้สักที บางคนตามจับตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เช่น คุณยุทธ ประภาวัฒน์ ตามจับอยู่ถึง ๑๑ ปี ไม่ได้พบเห็น ผู้คนต่างลือไปว่า นายกลับหรือลุงกลับนี้ มีวิชาล่องหนหายตัวทั้งอยู่ยงคงกระพัน เพราะนายกลับเป็นศิษย์ฆราวาสของสำนักเขาอ้อ เมืองพัทลุงอันมีชื่อเสียงไปทั่วภาคใต้
ลุงกลับมีเพื่อนเกลออยู่คนหนึ่งชื่อ อาจารย์นำ แก้วจันทร์ อายุอ่อนกว่า ลุงกลับถึง ๒๐ ปี แต่เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์คืออาจารย์ทอง แห่งสำนักเขาอ้อ คนทั้งสองเรียนวิชาจนทันกัน มีความสามารถเท่ากันแต่พระอาจารย์นำเลือกทางเข้าสู่บวรพุทธศาสนา แต่นายกลับ คำทอง เลือกที่จะเป็นโจร ตำรวจทั้งโรงพักไม่ว่าจะเป็นที่ตรังหรือพัทลุง ต้องลงบันทึกประจำวันว่าออกตามจับนายกลับ เนื่องจากนายกลับมีค่าตัวถึง ๖๐๐ บาท มากกว่าเงินเดือนนายร้อยตรีในสมัยนั้นสิบเท่า
ขุนพันธ์ตามล่านายกลับเป็นเวลานานตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่คว้าน้ำเหลวมาตลอด แต่เนื่องจากตนเองมีความชอบด้านไสยศาสตร์ ก็มักไปหาพระอาจารย์นำที่สำนักเขาอ้ออยู่เสมอ และฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอีกด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขุนพันธ์ได้ถามอาจารย์ว่า “จะมีวิธีจับนายกลับได้อย่างไร?” อาจารย์นำถึงกับหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องตลกก่อนตอบสั่นๆ มาว่า “ถ้าจะจับนายกลับให้ได้ ต้องตามให้ทัน”
ขุนพันธ์ก็ออกไล่ล่านายกลับให้ได้ โดยใช้การประกบตัวคนใกล้ชิดและลูกศิษย์ของแก คือนายพ่วง บ้านอยู่คลองเรือห่างจากสถานีตำรวจประมาณ ๒ กิโลเมตร มีคดีฆ่าคนตาย แต่หลักฐานไม่เพียงพอ ตำรวจจึงต้องปล่อยตัวไป มือปราบพระกาฬได้เกลี้ยกล่อมให้มาร่วมมือกับตำรวจแล้วโทษอื่นจะช่วยให้หนักเป็นเบา นายพ่วงยอมตกลงหักหลังผู้เป็นอาจารย์ทันที ต่อมานายพ่วงรายงานว่า นายกลับจะไปทำการปล้นที่จังหวัดสงขลา ตอนนี้กำลังทำพิธีบวงสรวงเจ้าที่เจ้าทางอยู่ที่บ้านของนายพ่วง ท่านขุนฯ จัดกำลังเจ้าหน้าที่เดินทางไปทันที แต่ไปถึงพบกับความว่างเปล่า เพราะกลุ่มโจรของนายกลับได้หายไปหมด สอบถามเอาจากเพื่อนบ้านได้ความว่า ตอนทำพิธีลูกน้องลุงกลับห้อมล้อมเป็นวงกลม ตัวนายกลับอยู่ตรงกลางใส่มงคลอยู่ที่หัวคล้ายมงคลของนักมวย นั่งทำพิธีอยู่ชั่วครู่นายกลับบอกกับลูกน้องขึ้นว่า
“วันนี้เสียฤกษ์แล้ว มงคลไม่เต้นแบบมีชีวิตชีวา แต่สั่นเฉยๆ เป็นลางไม่ดี กินของเซ่นแล้วแยกย้ายกันกลับซะ”
ของเซ่นเลยเป็นของกินของลูกน้อง จากนั้นพากันแยกย้ายกันกลับ หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปสามวัน นายกลับได้มาหานายพ่วงถึงที่บ้านพร้อมกับชี้หน้าด่า “อ้ายพ่วง…มึงคิดไม่ซื่อกับกู คิดอ่านสมคบกับตำรวจตามจับกู ต่อไปนี้มึงกับกูเลิกคบกัน”
จริงๆ แล้วนายกลับควรจะฆ่านายพ่วง แต่เพราะความเป็นศิษย์เป็นครูเลยไม่ทำ อีกอย่างนายกลับไม่ใช่เป็นคนเหี้ยมในสันดาน นายกลับดำรงตนเป็นโจรถึง ๔๐ ปี เคยปล้นเพียงครั้งเดียว โดยมีเหตุผลที่ว่า การปล้นกฏหมายลงโทษหนัก เป็นเรื่องเอิกเกริกท้าทายกฏหมายสู้ย่องเบาไม่ได้ ทำงานเพียงคนเดียว
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าหลวงเมืองตรัง ได้เกลี้ยกล่อมลูกหลานนายกลับที่รับราชการบนศาลากลางจังหวัด ให้ไปอ้อนวอนนายกลับมามอบตัว โทษหนักจะเป็นเบานายกลับเห็นกับลูกหลานและวงศ์ตระกูลจึงติดต่อว่าจะเดินทางไปเข้าเรือนจำเอง เมื่อถึงเวลานัดนายกลับก็ไปจริงๆ วันนั้น ข้าหลวงนั่งอยู่หน้ามุขตีนเนินเฝ้าสังเกตการณ์ได้เห็นนายกลับเข้าไปหาพัศดีที่รอรับ พัศดีขอตีตรวนที่คอ มือเท้า ๒ ข้าง แต่นายกลับไม่ยอมโดยอ้างว่า “นาย…ผมไม่ได้ถูกจับ ผมจะมาเข้าคุกเอง ถ้าทำอย่างนี้ผมไม่อยู่ ผมไปล่ะ”
ฝ่ายพัศดีเรือนจำก็ไม่ยอม เนื่องจากเป็นผู้ร้ายตัวสำคัญต้องปฏิบัติตามระเบียบ ไม่มีการยกเว้น แต่นายกลับหาได้สนใจ แกรูดโซ่ตรวนออกหมด แม้พัศดีจะพยายามจับแกใส่อีกนายกลับก็ถอดได้อีก ครั้งสุดท้ายแกถือมีดในมือเล่มเดียวเดินออกจากเรือนจำ พัศดีได้แต่ทำตาปริบๆ พูดไม่ออก ส่วนผู้คุมทรุดตัวลงนั่งลุกไม่ได้ ว่ากันว่า ทุกคนถูกอำนาจมนต์สะกด ฝ่ายขุนพันธ์ตามล่านายกลับอยู่หลายครั้ง ไม่ได้ตัวสักที ทั้งๆที่ทำตามอาจารย์นำที่สอน ได้แต่คิดปริศนานี้อยู่เรื่อยมา ในที่สุดก็มาคิดได้ คำที่ว่า “ต้องตามให้ทัน” นั่นก็คือ ต้องเรียนรู้เรื่องไสยศาสตร์ให้ทันนายกลับ ขุนพันธ์เลยไปเรียนไสยศาสตร์เพิ่มเติมกับอาจารย์นำอีกมากมาย ซึ่งก็เรียนได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีพื้นฐานอยู่มากมาย
จนกระทั่ง เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ นายเจิม ลูกงู ซึ่งเป็นสายให้กับตำรวจ เป็นคนควนขนุน พัทลุง เป็นคนเก่งมาก เพราะมีปานดำเป็นรูปกางเกง ไม่กลัวไฟ และของแหลมคม ในอดีตเคยเป็นพวกของนายกลับได้รายงานให้ขุนพันธ์ทราบว่า นายกลับไปได้เเม่ม่ายลูกติด อยู่ที่บ้าน ตำบลบ้านนา เมืองพัทลุง ขุนพันธ์จึงระดมพล ได้แก่ นายเจิม ลูกงู เป็นผู้นำทาง พลฯ บุญ กล้าหาญ พลฯ มน ขุนยัง พลฯ จำเนียร นาคะวิโรจน์ พลฯ กันภัย ณ ป้องเพชร และขุนพันธ์ออกเดินทางโดยว่าจ้างรถให้ไปส่ง พอไปถึงบ้านนาวงได้สั่งให้รถหยุดขุนพันธ์จ่ายค่ารถ ๓๐ บาท พร้อมกับสั่งให้รถกลับไปได้ไม่ต้องรอ
นายเจิมเดินหน้าพาเข้าป่าไปทางทิศเหนือ พอไปถึงสวนของชาวบ้านได้เห็นห้างบนต้นไม้ใหญ่ มีหลังคาและฝากั้นสูง ขณะนั้นเป็นเวลา ๒๓ นาฬิกา นายเจิมบอกให้พักที่นี่ก่อน “รอจนถึงตี ๕ ค่อยไปกันต่อ ห้างนี้สูงถึง ๕ เมตร เสือคงกระโดดไม่ถึง” ท่านขุนพูดเชิงติดตลกกับทุกคนว่า “เสือไม่กลัวราชสีห์ก็ลองดู”
คืนนั้นทุกคนนอนหลับกันไม่ลง เนื่องจากห่วงงานและมียุงกวนอยู่ตลอด พอถึงตี ๕ ทุกคนก็ลงจากห้าง นายเจิมได้บอกว่า “ไม่ต้องรีบเดินกัน เพราะบ้านลุงกลับอยู่ไม่ไกล ๓๐ นาทีก็เดินถึง”
ประมาณตี ๕ ครึ่ง ตำรวจได้เข้าเขตบ้านนายกลับ ห่างจากเรือนไปทางทิศเหนือ ถึงเวลาหกโมงเช้า ร.ต.อ.ขุนพันธ์ และนายเจิมต่างก็เห็นนายกลับ เปิดประตูระเบียงเรือนออกมายืนนอกชาน ตรงที่ตำรวจซุ่มพอดีแกนุ่งผ้าพื้นลอยชายสีเขียวใบไม้ มีผ้าขาวม้าตาหมากรุกพาดไหล่ห้อยชายไปข้างหลังทั้งสองข้าง หันหน้าไปทิศตะวันออก มองดูรอบๆ ขุนพันธ์ชี้เป้าหมายให้ตำรวจดู แต่ไม่มีลูกน้องคนใดมองเห็นนายกลับเว้นแต่นายเจิมที่เห็นเช่นเดียวกับขุนพันธ์ จ้องมองราว ๑๕ นาที ก็มองไม่เห็นตัวนายกลับเสียแล้ว สักครู่ได้ยินเสียงคนฟันไม้อยู่ทางทิศตะวันตกของเรือนนายเจิมบอกขุนพันธ์ว่า “ลุงกลับแล้วก็ลูกเลี้ยงเป็นชาย อายุราว ๑๗ ปี กำลังทำคอกควายใหม่”
แต่ไม่เห็นตัวเพราะมีหญ้ากอสูงท่วมหัวบังอยู่ จึงสั่งเคลื่อนที่ด้วยการคลานเข้าไป ห่างประมาณ ๘ วา ก็เห็นนายกลับและลูกเลี้ยงผูกรั้วเดินหน้าไปทางตะวันออก ลูกเลี้ยงปักกระทู้นำหน้า แม้จะใกล้ขนาดนั้นแล้วตำรวจใต้บังคับบัญชาก็ยังมองไม่เห็นนายกลับ พอดีห่างจากตัวนายกลับออกไปสัก ๒ วา เป็นจอมปลวกซึ่งมีต้นไม้ขึ้นขุนพันธ์คิดว่าหากนายกลับเดินไปยังจอมปลวก ตนเองและลูกน้องจะรีบเข้าไปถึงตัวเเล้วต่อยจับเอา เพราะคนอยู่ยงคงกระพันนั้นหากใช้ปืนยิงก็คงจับไม่ได้ จะเสียเวลาคนร้ายอาจหนีไปได้ จึงสั่งห้ามไม่ให้ใครยิง แต่ให้รีบเข้าไปช่วยตนเองตอนปล้ำจับ
นายกลับ ดำทอง หารู้ไม่ว่าตำรวจอยู่ใกล้ตัวแค่เอื้อม คงทำงานไปไม่สนใจอะไร เขามองดูต้นไม้สูงใหญ่เดินผ่านตำรวจไม่เกิน ๒ วา แต่ไม่มีตำรวจเห็น นายเจิม คงรำคาญเต็มทน จึงลุกขึ้นชันเข่าประทับปืนลูกซองเบรานิงยิงออกไป ๒ นัด แต่ไม่โดน นายกลับ หันมามองแว๊บเดียวแล้วหันหลังวิ่งทันทีคราวนี้ตำรวจทุกคนเห็นนายกลับแล้ว ทุกคนไล่กวดเป็นแถวหน้ากระดาน โดยมีพลฯ จำเนียร อยู่สุดแถวทางขวา มีพลฯ หาญ อยู่ทางซ้าย พอวิ่งไปถึงปลายสวน พวกที่อยู่กลางแถวไปติดกอไผ่และยังมีคอกควายเก่าอยู่อีกด้วย พลฯ บุญวิ่งกระหนาบเข้าข้างซ้าย พลฯ จำเนียร วิ่งกระหนาบเข้ามาทางขวา นายกลับวิ่งวนไปมา แล้วล้มลงนอนหงายท้อง ชักมีดพกออกมาถือยันเอาไว้ไม่ให้พวกตำรวจเข้าไปใกล้ ด้วยการหมุนตัวไปรอบๆ พอได้จังหวะก็ลุกขึ้นวิ่งหนีชนพลฯ บุญ ล้มลง แล้ววิ่งต่อไปถึงลำห้วยนายกลับกระโดดลงไป ในห้วยมีน้ำเพียงแค่ศอกจึงวิ่งลุยได้สบาย ทั้งคนร้ายทั้งตำรวจวิ่งลุยน้ำอยู่ในห้วย
นายกลับเตรียม วกขึ้นตลิ่ง พลฯ จำเนียรส่องด้วยปืนพระรามหกในระยะห่างเพียง ๒ วา ถูกตรงสะบัก ล้มหงายตึงลงมายังห้ายที่มีหาดทราย แล้วจู่ๆ นายกลับก็หายไปต่อหน้าเฉยๆ โดยไม่มีร่องรอย ขุนพันธ์เข้าใจว่า คนร้ายอาจหนีกลับไปบ้านของตนเพื่อเอาปืนและเครื่องรางฯ จึงนำกำลังกลับไปที่บ้านนายกลับ เจอเข้ากับลูกเลี้ยงจึงใช้ขึ้นไปเอาเครื่องรางลงมาให้ เพราะตำรวจไม่รู้ที่ซ่อน แต่ลูกเลี้ยงไม่ยอมเพราะกลัวนายกลับฆ่าเอาทั้งแม่ทั้งลูก ขุนพันธ์จึงสั่งลูกน้องทั้งสี่คนขึ้นไปค้น แต่ค้นถึง ๓ เที่ยวก้ไม่เจอจึงพากันกลับโรงพัก ก่อนกลับได้กำชับว่าจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า เพื่อสอบถามเอาความจริง
รุ่งขึ้น ขุนพันธ์และลูกน้องชุดเดิมกลับมายังบ้านนายกลับ พบแต่ลูกเลี้ยงอยู่คนเดียว จึงได้ทราบว่าเมียนายกลับยังไม่มา พร้อมกับเล่าเรื่องเมื่อวานให้ทราบ ขณะที่ตำรวจขึ้นไปค้นบนบ้าน นายกลับก็ยืนอยู่ข้างๆลูกเลี้ยง แต่ตำรวจไม่เห็นกันเอง เมื่อตำรวจกลับหมดแล้วนายกลับจึงสั่งให้ลูกเลี้ยงขึ้นไปเอาปืนกับเครื่องรางมาให้ ลูกเลี้ยงได้บอกกับนายกลับว่า
“ตำรวจขึ้นไปค้นตั้งหลายเที่ยว คงเอาไปหมดเเล้ว”
“ของยังอยู่ ตำรวจเอาไปไม่ได้”
นายกลับบอก “งั้นพ่อขึ้นไปเอาเองเถอะ” ลูกเลี้ยงเกี่ยง
“บ้านนี้ข้าจะไม่เหยียบอีก ๗ ปี เพราะไอ้นายร้อยคนนั้นได้ทำไว้หลายอย่าง”
ลูกเลี้ยงจึงขึ้นไปเอาให้ นายกลับบอกว่าจะเดินทางไปอยู่ตรังผู้กองมือปราบได้ถามต่อไปว่า นายกลับถูกตำรวจยิงเป็นไงบ้าง ลูกเลี้ยงตอบว่า… “บวมระหว่างสะบัก โตเท่าผลส้มหัวจุกเห็นจะได้”
มาประมาณปลายปี ๒๔๘๕ ขุนพันธ์ได้ย้ายไปอยู่จังหวัดชัยนาท และย้ายกลับมาพัทลุง ในปี ๒๔๙๒ นายกลับอายุมากแล้ว ไม่ได้ประพฤติเช่นดังก่อน มาอยู่ที่บ้านเมียนาวง พอรู้ว่าขุนพันธ์กลับมาแกก็ย้ายหนีไปอยู่เมืองตรังทันที แม้ขุนพันธ์จะฝากข้อความผ่านไปยังอาจารย์นำว่าตนเองอยากพบสักครั้งหนึ่งที่พัทลุง แต่นายกลับไม่ยอมมาพบ โดยนายกลับบอกฝากคนมาว่า
“นายร้อยคนนั้นไว้ใจไม่ได้ มันยิงกูทีหนึ่งแล้ว กูไม่ขอพบ” เป็นอันว่าคนทั้งสองไม่ได้เจอกันจนแล้วจนรอด
ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ อภินิหาร ตำนาน พระเกจิฯ
การล้างพิษ (Detox) เป็นกระบวนการที่ช่วยกำจัดสารพิษหรือสิ่งสกปรกที่สะสมในร่างกายออกไป อาหารจัดได้ว่าเป็นยาที่ดีที่สุด อาหารบางประเภทสามารถช่วยในกระบวนการนี้ได้ดี โดยมีคุณสมบัติในการขับสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปนี้คือ 10 อาหารที่ช่วยในการล้างพิษ: 1. มะนาว มะนาวมีสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซีที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญในการขับสารพิษออกจากร่างกาย… อ่านเพิ่มเติม..
ข้อเข่า โดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายบานพับ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือออกกำลังกาย การดูแลข้อเข่าอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันการเสื่อมก่อนวัย และลดปัญหาอาการปวดหรือข้ออักเสบที่อาจเกิดขึ้นได้ อาหารบำรุงข้อเข่าให้เสื่อมช้าลง ปลา ที่มีโอเมก้า 3 เช่น โดยเฉพาะอาหารทะเล เช่น… อ่านเพิ่มเติม..
• ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระเถระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์มาก คู่กับพระสารีบุตร ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระมหาโมคคัลลานะ มีชื่อเดิมว่า "โกลิตะ" เป็นบุตรพราหมณ์ท้ายบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์ โกลิตมาณพ เป็นเพื่อนสนิทกับอุปติสสมาณพ หรือ พระสารีบุตร… อ่านเพิ่มเติม..
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อโมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ (พระสารีบุตร) เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย… อ่านเพิ่มเติม..
บทสวดมนต์ประจำวันเกิด แบบเต็มและแบบย่อทั้ง 7 วัน ตามกำลังวัน สวดก่อนนอนชีวิตราบรื่น ร่มเย็น เสริมสิริมงคล ประโยชน์ของการสวดมนต์ก็คือทำให้จิตใจเราผ่องใส และจิตใจสงบมากขึ้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ พระประจำวันเกิด คือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร บทสวดมนต์บูชาพระประจำวันอาทิตย์… อ่านเพิ่มเติม..
อาการท้องผูก ท้องอืด ถึงแม้จะไม่ส่งผลอันตรายมากถึงชีวิตแต่ก็สร้างความอึดอัดไม่สบายท้อง หรืออาจลุกลามกลายเป็นโรคอันตรายในอนาคตได้ และที่สำคัญอาการเหล่านี้มักส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง! ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยใยอาหาร ทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น ผลไม้ 9 ชนิดช่วยขับถ่าย กากใยสูง แก้อาการท้องผูกชนิดไหนบ้างนั้น มาดูกันเลย 1.มะละกอสุก เป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงและหาทานง่าย… อ่านเพิ่มเติม..
This website uses cookies.