ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น….. “ที่ไหนที่ไหนก็มีคนอิจฉา..ขนาดพระพุทธเจ้ายังโดน..เอ็งกับข้าจะเหลือหรอ” หลวงปู่กล่าวกับศิษย์ผู้หนึ่งขณะขอคำปรึกษากับท่านเรื่องที่ทำงานแล้วมีคนอิจฉาตลอด
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ จูฬกัมมวิภังคสูตร ความตอนหนึ่งได้กล่าวถึงผลกรรมจากความอิจฉาริษยา ว่า
[๕๘๘] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม มีใจริษยา ย่อมริษยา มุ่งร้าย ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น
เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้
หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีศักดาน้อย ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดาน้อยนี้ คือ มีใจ ริษยา ย่อมริษยา มุ่งร้าย ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือการไหว้ และการบูชาของคนอื่น ฯ
วิบากกรรมก็จะส่งผลให้เป็นคนที่ไม่มีอำนาจ ด้อยอานุภาพ ความสามารถน้อย ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังได้ยาก ไม่ว่าจะพยายามเพียงไรก็ตาม นั่นก็เพราะ ความริษยาผู้อื่นไว้อย่างไร ไม่อยากให้ผู้อื่นได้ดีอย่างไร ขัดขวางผู้อื่นอย่างไร ตนก็ย่อมได้อย่างนั้น
ในพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อโลสกติสสแม้ท่านจะสำเร็จอรหันต์แล้ว แต่ด้วยวิบากกรรมของการอิจฉาในอดีต ท่านอิจฉาพระอรหันต์รูปหนึ่งที่มีญาติโยมศรัทธามากกว่าท่านให้อดอาหารเพียงแค่มื้อเดียวเท่านั้น เป็นวิบากรรมที่ทำให้ท่านไม่เคยกินอิ่มเลยสักครั้ง
เวลาที่ท่านบิณฑบาตหากมีญาติโยมนำอาหารใส่บาตร อาหารพวกนั้นก็จะหายไปเอง แต่ญาติโยมก็จะเห็นอาหารอยู่เต็มบาตรของท่าน จึงไม่มีใครใส่บาตรท่านอีก ทำให้ท่านฉันไม่เคยอิ่มเลย
อย่างไรก็ดี การจะลดความริษยาในใจลงได้ ก็เพียงแต่ ฝึกตนให้มีมุทิตา หรือ ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี เริ่มต้น จากความเมตตาก่อน คือ ปรารถนาให้เขาเป็นสุข ต่อมา คือ ความกรุณา ปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ และตามมาด้วย มุทิตา คือพลอยยินดีเมื่อเขาได้ดี ก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
และสุดท้ายคืออุเบกขาการวางใจให้เป็นกลาง ดังนั้นควรฝึกพรหมวิหาร คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอยู่บ่อยๆ โดย เฉพาะ “มุทิตา” เพื่อลดกำลังของความริษยานั้นลง
ขณะเดียวกันคนที่ไม่อิจฉาริษยาผู้อื่นก็จะทำให้เกิดผลกรรมในด้านที่ดี คือ จะเป็นผู้มีศักดามาก มีอำนาจมาก มีความสามารถ ทำอะไรก็ย่อมประสบความสำเร็จอยู่เสมอ ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ จูฬกัมมวิภังคสูตร ใจความว่า
[๕๘๙] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นผู้มีใจไม่ริษยา ย่อมไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย ไม่ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติ-
*โลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีศักดามาก
ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีศักดามากนี้ คือ มีใจไม่ริษยาย่อมไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย ไม่ผูกใจอิจฉาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือการไหว้ และการบูชาของคนอื่น ฯ