⌘ พระเกจิอาจารย์

พ่อท่านทอง วัดเก้าตำลึง (วัดชัยสุวรรณ) เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช

วัดเก้าตำลึง (วัดชัยสุวรรณ) เป็นวัดในถิ่นชนบท ตั้งอยู่ที่ ม.๒ ต.บ้านเนิน อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๐ มีพ่อท่านทอง เป็นคนสร้างขึ้นราวสมัยกรุงศรีอยุธยา

พ่อท่านทอง เป็นสหธรรมิก (เป็นเพื่อน) กับพ่อท่านชูเฒ่า วัดพัทธเสมา ในสมัยก่อนมีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน(ทดสอบวิชา) โดยการลงไปอาบน้ำในกาน้ำเล็กๆกัน จนเป็นที่เลื่องลือ

เมื่อประมาณ ๑๘๒ ปี(ปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๕๗) มาแล้วคือราวพ.ศ.๒๓๗๕ มีครอบครัวหนึ่งชื่อ นายบุญแก้ว และนางบุญเกิด นนทะแก้ว ทั้งสองคนผัวคู่นี้ประกอบแต่กรรมดี มีธรรมมะประจำใจ อยู่กินมาด้วยความสุข มีลูกด้วยกัน ๗ คนคือนางทองมี นายทองนายเสือ นายนุ้ย นางพูน นางช่วย และนางหลิ้ม ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดทวยเทพ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเก้าตำลึง (ปัจจุบันเรียกว่าวัดชัยสุวรรณ)

เมื่อนายทองเจริญวัยจนสามารถบวชเณรได้ บิดามารดาก็พามาบวชที่วัดเก้าตำลึง สาเณรทองเป็นสามเณรที่อยู่ในระเบียบวินัย และโอวาทของเจ้าอาวาส พยายามศึกษาพระธรรมวินัย จนอายุครบที่จะบรรพชาอุปสมบท ก็ได้บรรพชาอุปสมบท มีนามว่าพระทอง พระทองได้ศึกษาธรรมมะและอยู่ในวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่เคารพนับถือของพุทธบริษัท

พระทอง จำพรรษาอยู่วัดเก้าตำลึงหลายพรรษา มีความรู้แตกฉาน และมีปฏิพานสามารถอบรมสั่งสอนศิษย์ ให้อยู่ในระเบียบวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบุญกุศลของพระทองที่สร้างไว้นี้ ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ มีว่าว่า “พระอุปัชฌาย์ทอง”

แต่คนส่วนมากนิยมเรียกท่านว่า “พ่อท่านทอง” เพราะชาวบ้านนับถือท่านเหมือนกับพ่อจริงๆ พ่อท่านทองจำพรรษาอยู่วัดเก้าตำลึงมาโดยตลอด มีพระภิกษุจำพรรษารวมอยู่ด้วยไม่มากนัก เพราะเป็นวัดในชนบท แต่ในสมัยก่อนนั้นประเพณีการ เมื่อบวชแล้วมักจะอยู่ครองเป็นพระอย่างน้อย ๒ – ๓ พรรษา ส่วนมากจะอยู่รับน้องใหม่เสียก่อน

อาหารที่พ่อท่านทองชอบ พอจะกล่าวได้ในที่นี้ก็คือ “นมควายคู่” คำว่านมควายคู่นี้ คือนมควายที่รีดมาจากแม่ควายลูกอ่อน เมื่อรีดมาแล้วก็นำไปบรรจุในกระบอกไม้ไผ่อ่อนๆ สดๆ โดยนำไปใส่ทั้งดิบๆ เมื่อนำไปใส่ในกระบอกไม้ไผ่ นมควายก็จะแข็งตัว บางทีก็เอาน้ำส้มจาก ผสมลงไปบ้าง ท่านกล่าวว่ามีรสดีมาก การใส่ในกระบอกไม้ไผ่นี้นิยมทำกันเป็นคู่เสมอ จึงขนานนามว่า “นมควายคู่”

ส่วนกับข้าวที่พ่อท่านพอจะฉันได้ ก็คือแกงจืด /แกงเผ็ดท่านฉันไม่ค่อยได้ เพราะปากท่านเจ็บอยู่เสมอ เนื่องจากผู้คนที่มาหาท่าน จะเป็นหนังตะลุง มโนราห์ เมื่อมาถึงท่านแล้ว ก็จะยนหมาก(ตำหมาก)ถวายท่าน ท่านก็เอาหมานี้ใส่เข้าปากแล้วก็คายให้ผู้ที่นำมาถวาย ถ้ามากัน ๕ คนก็ใส่ปาก ๕ ครั้ง ถ้ามา ๑๐ คนก็ใส่ปาก ๑๐ ครั้ง จนทำให้ปากของท่านเจ็บด้วยฤทธิ์ของปูนและพลู แต่ท่านก็ยังไม่ยอมหยุด

หมากของท่านที่คายให้แก่บรรดาศิษย์ของท่านนี้ ปรากฏว่าอยู่ไปนานๆ ก็กลายเป็นทอง หรือทองเหลืองซึ่งขณะนี้ก็ยังมีปรากฏอู่แก่บรรดาศิษย์ของท่าน แต่ศิษย์ของท่านก็ได้ล่วงลับไปแล้วส่วนมาก

พ่อท่านทองชอบห่มผ้าจีวรสีหมาดๆคล้ำ ๆ คล้ายพระวิปัสสนาในสมัยนี้ นิสัยของพ่อท่านทอง ชอบอยู่นิ่งๆ เฉย ๆ ไม่ชอบพูดมาก เป็นพระที่ขรึม มีตบะ ลูกศิษย์เกรงกลัว เมื่อท่านว่าอย่างใด พูดอย่างไรแล้วก็เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ

ด้วยเพราะบารมีที่ท่านปฏิบัติตามระเบียบวินัยของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง จนทำให้พ่อท่านทองมีวาจาสิทธิ์ พูดอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ หรือเรียกว่าพ่อท่านทอง เป็นพระที่มีอภินิหาริย์ ดังมีตัวอย่างเล่าสืบต่อกันมาว่า

๑.ที่วัดเก้าตำลึงมีเด็กวัดหลายคน ที่หน้าวัดนั้นมีคลองและมีจระเข้มาอาศัยอยู่ เพราะเมื่อก่อนนี้คลองบ้านกลางลึกมาก และมีจระเข้ชุม คนส่วนมากกลัว ไม่กล้าลงไปในแม่น้ำลำคลอง แต่หน้าวัดเก้าตำลึงเมื่อพ่อท่านไปริมคลองเมื่อใด เด็กๆก็จะตามท่านไปและลงเล่นน้ำในคลอง จระเข้ไม่กล้าเข้ามาใกล้พวกเด็กๆ แต่พอพ่อท่านกลับเด็กๆก็ต้องขึ้นจากน้ำ เพราะกลัวจระเข้

๒.วันหนึ่งพวกแขกเทศขายผ้า ได้มาขายผ้าในวัดเก้าตำลึง ชาวบ้านก็ได้เข้ามาซื้อผ้าของแขกเทศ บางคนดูผ้าแล้วไม่ซื้อ จะด้วยสาเหตุไม่ชอบ หรือไม่ตกลงเรื่องราคา พวกเทศก็โกรธ พูดต่อว่าชาวบ้านในทางที่ไม่ค่อยดี คือดูถูกชาวบ้านหรือลูกศิษย์ของพ่อท่านเกิดทะเลาะกัน พ่อท่านก็ห้ามให้หยุด

โดยท่านพูดว่า “อย่าไปทำมัน มันจะตายเอง” เมื่อเทศเลิกทะเลาะกับชาวบ้านแล้ว พวกเทศก็ออกเดินทางออกนอกวัดเพื่อนำผ้าไปขายต่อ แต่พอออกนอกวัดไม่เท่าไรก็พบกับควายที่ชาวบ้านล่ามไว้กลางทุ่งนา เมื่อควายเห็นเทศเดินมาก็วิ่งไล่เทศ พวกเทศวิ่งไม่ได้กี่ว่าควายก็ไล่ทันและเข้าฟันเทศถึงแก่ความตาย ตามวาจาของท่านจริงๆ

๓.ครั้งหนึ่งทางวัดได้จัดงาน มีการตั้งครัวในวัด และคนก็มาช่วยหุงข้าว ทำอาหารกันอย่างพร้อมเพรียง ในงานนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมารักษาความสงบในงาน เมื่อถึงเวลาหุงข้าว นายแบนก็ไปหาใบตองมาปิดกระทะข้าว ก็ได้นำพร้าไปด้วย เพื่อไปตัดใบตอง

เมื่อเดินไปเจอกับตำรวจเข้า ตำรวจก็จับ โดยกล่าวหาว่าพกอาวุธมาในงาน เมื่อตำรวจจับแล้ว พ่อท่านทราบเข้าก็ใช้ให้ปล่อยเสีย อย่าเอาเรื่องเพราะเป็นศิษย์ของพ่อท่าน มาช่วยเหลือหุงข้าวให้วัด แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ยอมปล่อย พ่อท่านก็กล่าวกับตำรวจว่า “มึงบ้าไปเสียแล้ว” เมื่อเสร็จงาน ตำรวจคนนั้นก็กลับไปโรงพัก พอไปถึงโรงพักก็บ้าเอาจริงๆ จนต้องออกจากราชการ

๔.พ่อท่านทองเป็นพระภิกษุที่อยู่ในศีลวินัยอย่างเคร่งครัด มีชื่อเสียงคนนับถือกันทั่วทิศ ตลอดทั้งหนังตะลุง และมโนราห์ เมื่อเดินผ่านวัดเก้าตำลึง จะต้องหยุดแสดงที่วัดเสียก่อน จึงจะเดินผ่านไปได้ ครั้งหนึ่งมีหนังตะลุงมาหยุดแสดงหลายโรง คนก็มาชมหนังกันมาก

ขณะที่หนังแสดงก็มีการถือหนังกัน อยากจะให้หนังของพักพวกตนชนะ ก็เอาก้อนอิฐปา(ซัดโรงหนัง) ก้อนอิฐเลยไปถูกวิหารในวัด ก็มีคนไปบอกพ่อท่านทองว่า “มีคนซัดหนัง” เมื่อทราบท่านก็พูดว่า “ช่างหัวมัน ใครซัดหนังมือของมันก็จะหัก”

ครั้นรุ่งเช้าข้างวัดก็มีการนัดชนควายกัน ก็มีคนไปดูกันมากมาย คนที่ซัดหนังก็ไปดูกับเขาด้วย ควายก็ต่อสู้กันพักหนึ่ง ตัวที่สู้ไม่ได้ก็วิ่งหนี บังเอิญวิ่งไปทางคนที่ซัดหนัง เขาก็ออกวิ่งหนีด้วยความตกใจสุดกำลังเลยล้มลง มือกระแทกกับพื้นอย่างแรง ถึงกับมือหัก ตามคำที่พ่อท่านกล่าวจริงๆ

๕.พ่อท่านทองมีวาจาสิทธิ์จริงๆ มีการมีงานอะไรในวัด พวกดื่มสุราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเมาเท่าไร ถ้าเหยียบย่างเข้ามาในวัดต้องหา

หายเมาทันที พ่อท่านเป็นคนขรึม แต่ใจเย็น ไม่มีความ โลภ โกรธ หลง คือพ่อท่านตัดกิเลส เข้าสู่ขั้นอริยะบุคคล หรือพระเสขะจริงๆ มีความรักศิษย์ วันใดสบายใจก็พูดจากับศิษย์และแสดงวิชาการต่างๆ ให้ศิษย์ดู วันหนึ่งพ่อท่านสบายใจ พ่อท่านกล่าวว่า

“พวกสูคอยดูนะ กูจะไปอาบน้ำในกาให้ดู”

ว่าแล้วพ่อท่านก็หายตัวเข้าไปอยู่ในกาน้ำ สักครู่หนึ่งพ่อท่านก็ออกมาทางพวยกา ซึ่งทำให้ศิษย์ที่ได้ดูด้วยกับตา ก็มีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

๖.ของขลังต่างๆที่พ่อท่านแจกจ่ายแก่ศิษย์ ก็มี ผ้าเจียด ทิดหมอน สายเอว วิธีการทำของพ่อท่านก็คือจะแรกทำให้แล้วก็ให้ลูกศิษย์ช่วยทำต่อ เมื่อเสร็จพ่อท่านก็เอาไปเสกอีกครั้ง จึงแจกให้ ของขลังต่างๆที่พ่อท่านแจกให้นั้น ขณะนี้ก็ยังมีตกเหลืออยู่ และปรากฏว่าได้กลายเป็นเหล็ก และทองเหลืองก็มีอยู่หลายรายการ

๗.พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีพรรษาเท่าๆกับพ่อท่านทองก็มีเช่น สมภารปาน วัดสระโพธิ์ พ่อท่านซ่วน วัดบ้านดาน พระอุปัชฌาย์สุก วัดบางทองคำ พระอุปัชฌาย์เกิด วัดขนาบนาค พ่อท่านรุ่น วัดบ้านเนิน
กุฏิที่พ่อท่านพักมี ๓ หลัง

หลังที่ ๑ นอนกลางคืน อยู่ทางทิศใต้สุดของวัดเก้าตำลึง
หลังที่ ๒ อยู่ทางทิศเหนือ ท่านใช้เป็นที่ฉันอาหาร
หลังที่ ๓ อยู่ทางตอนกลางของหลังที่ ๑และหลังที่ ๒ ท่านใช้พักในเวลากลางวัน
กุฏิทั้ง ๓ หลังนี้การก่อสร้างก็พอประมาณ ไม่ใหญ่โตเท่าไร แต่ได้จัดเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการตกแต่งโดยศิษย์ช่วยกันทำและรักษาความสะอาด โดนเฉพาะพระสมัยก่อนทำกิจวัตรประจำวันจริงๆ คือกวาดวัดทุกวัน จึงทำให้บริเวณวัดสะอาด เรียบร้อย พ่อท่านได้ใช้กุฏิทั้ง ๓ หลังนี้มาเป็นเวลานาน

จนอายุของพ่อท่านย่างเข้าปีที่ ๘๓ กุฏิหลังที่พ่อท่านอยู่กลางวัน ก็ได้เกิดเสียงร้องของผู้ชาย ศิษย์ของพ่อท่านก็ได้ยินกันทุกคน ครั้นชวนกันไปดูก็ไม่เห็นมีคนอยู่ จึงทำให้ศิษย์มีความตกใจกลัวกันมาก เมื่อได้ยินเสียงร้องอีกก็ชวนกันไปดูอีก ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็นำกันไปบอกพ่อท่าน

พ่อท่านก็ทราบดีแต่ท่านก็เฉยๆ อยู่มาไม่ถึง ๑ เดือนพ่อท่านก็ป่วยด้วยโรคชรา ศิษย์ก็ไปหาหมอมารักษาพยาบาล หมอในครั้งนั้นก็มีหลายคน โดยใช้ยาแผนโบราณ โดยมีพ่อท่านชู วัดพัทธเสมา มาให้การรักษาอยู่ ๓ วัน พอวันที่ ๔ ขณะที่พ่อท่านชูยังรักษาอยู่ ก็มีคนเอานมควายคู่มาถวาย หมอก็ห้ามไม่ให้ฉัน แต่พ่อท่านก็ไม่ยอม พ่อท่านก็ฉันนมควายคู่เข้าไป อาการป่วยของพ่อท่านก็กำเริบขึ้น

ขณะที่พ่อท่านป่วยหนัก อาจารย์รุ่น วัดบ้านเนิน ก็ได้มาเฝ้ารักษาพยาบาลอยู่หลายวัน พ่อท่านรุ่น ก็กลับวัดของท่าน แต่พอไปถึงครึ่งทาง ท่านก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ท่านก็กลับมาวัดเก้าตำลึงอีกครั้ง พอมาถึงวัดก็เข้าไปเพื่อดูพ่อท่านทองอีก แต่พอเข้าไปในกุฏิ และเข้าไปเปิดมุ้งดูพ่อท่านทอง เห็นพ่อท่านนั่งประนมมือสิ้นบุญไปเสียแล้ว ศิษยานุศิษย์ตลอดทั้งพุทธบริษัทก็มีความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตีโพนเรียกประชุมคณะพุทธบริษัท เพื่อเตรียมการจัดงานศพของพ่อท่านต่อไป

เมื่อพ่อท่านทอง ได้สิ้นบุญไปแล้ว ศิษยานุศิษย์ก็ได้ประชุมคิดจัดก่อสร้างรูป ขนาดเท่าตังจริงของพ่อท่านทองขึ้น จนขณะนี้ก็ยังมีอยู่ และพุทธบริษัทก็ยังมากราบไหว้ บูชากันทุกวัน ตลอดทั้งยั้งมีประเพณีอาบน้ำพ่อท่านกันทุกปี โดยถือเอาวันที่ ๑๔ เมษายน ของทุกปี ท่านผู้ใดมีความศรัทธาและต้องการของดีของพ่อท่านก็ยังไปหาได้ เมื่อมีของดีแล้วท่านจะปลอดภัย ปราศจากโรคภัย ไข้เจ็บ ทำมาค้าขายบังเกิดผล แต่ท่านต้องอยู่ในศีล ปฏิบัติธรรม สร้างคุณงามความดี ลดเลิกอบายมุขทุกประการ

หลังจากมีการสร้างรูปปั้นแล้ว ก็ได้จัดทำเหรียญของพ่อท่าน เพื่อแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์ เหรียญรุ่นแรก ใครยังมีเก็บไว้ขณะนี้เป็นเหรียญหายากมาก ราคาเป็นหมื่น

เหรียญรุ่นที่ ๑ ปีพ.ศ.๒๔๙๗ ราวปีพ.ศ.๒๔๙๐๐สมัยท่านจิต มาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ เป็นสมัยที่เริ่มคิดจัดสร้างอุโบสถ และได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกฝั่งพัทธเสมา

เหรียญรุ่น ๒ จัดสร้างประมาณพ.ศ. ๒๕๐๐ โดยท่านพระอาจารย์ พระครูพินิจวิหารคุณ เจ้าอาวาสวัดสระโพธิ์

เหรียญรุ่นที่ ๓ ปี พ.ศ.๒๕๓๒า๒๒๒ สร้างสมัย อาจารย์เจือ แสนเดช ครบเกษียณอายุราชการ เพื่อบูชาพ่อท่าน แจกจ่ายเพื่อฟื้นฟูเกียรติคุณของพ่อท่านทอง (ผู้ใด ศิษย์คนใดต้องการยังไปขอรับได้จากอาจารย์เจือ แสนเดช)

เหรียญรุ่นที่ ๔ สร้างปีพ.ศ.๒๕๕๔ โดยตาหลวงพา และคณะชาวภูเก็ต เพื่อสร้างศาลาคู่เมรุ

เหรียญรุ่น๕ สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๑ สร้างโดย พระสมุห์เอกสิทธิ์ (หลวงพี่เอก) กมฺมสุทฺโธ เเละพุทธบริษัทวัดชัยสุวรรณ เพื่อเป็นทีระรึกยกพ่อท่านขึ้นประดิษฐานบนมนฑปหลังใหม่

เหรียญของพ่อท่านทอง ทุกรุ่นมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้ใดมีไว้ประจำตัว จะปลอดภัยต่ออุปัทะวะเหตุ ป้องกันตัวได้ทุกประการ แล้วบังบันดาลให้ผู้ที่มีเหรียญของพ่อท่าน ระลึกนึกถึงพ่อท่านอยู่ทุกวัน อยู่ในศีล รักษาปฏิบัติธรรม สร้างแต่คุณงามความดี

จะมีแต่ความสุขความเจริญ ศัตรูจะมาเบียดเบียนทำอันตรายไม่ได้ เจริญด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำมาค้าขายเจริญ ก้าวหน้า มีลาภไหลมาเทมา มีอายุยืนยาวอยู่ด้วยความสุข สงบ เย็น กันทุกๆคน

ผู้เขียนรวบรวบประวัติของพ่อท่าน ต้องขออภัยจากทุกท่าน ที่ได้อ่านประวัตินี้ พบข้อพกพร่องคลาดเคลื่อนจากความจริง กรุณาแจ้งให้ผู้เขียนทราบด้วย เพราะประวัติของพ่อท่านทองนี้ ได้ผ่านมาเป็นร้อยๆปี จึงหาบุคคลที่ทราบรายละเอียดได้ยาก

ผู้เขียนจะต้องขอข้อมูลจากคนแก่ๆ อายุ ๙๐กว่าๆ หลายท่าน บางท่านก็อาจหลงๆลืมๆ เพราะประวัติของพ่อท่าน ไม่เคยมีใครเขียนมาก่อน ผู้เขียนเห็นว่าพ่อท่านเป็น มหาบุรุษและปูชณียบุคคล เป็นพระที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เราชนรุ่นหลังสมควรอย่างยิ่ง ที่จะประกาศเกียรติคุณ และเอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป.

ขอเจริญธรรม / อาจารย์เจือ แสนเดช อดีต อาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดชัยสุวรรรณ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ครูเจือและคนเก่าคนแก่แถวนี้ รวมทั้งครูวัตร สระโพธิ์
ข้อมูลบางอย่างอาจขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ต้องขอ อภัย ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

admin

Recent Posts

จากความเชื่อ “เปรต” ผีที่หิวโหย 12 ตระกูล 21 จำพวก

เปรต "Preta" หมายถึงผี ตามความเชื่อในหลายศาสนาทั้ง ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ และศาสนาเชน ตามความเชื่อนั้น เปรตเป็นผีได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มาก โดยต้องทรมานกับความหิวโหยและความเจ็บปวดทางกาย ความเชื่อเรื่องเปรตมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางศาสนาในประเทศอินเดียตั้งแต่ยุคโบราณ และเริ่มแพร่กระจายสู่สังคมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก คำว่า "Preta"… อ่านเพิ่มเติม..

1 week ago

เชื่อหรือไม่? ในอดีตประเทศไทยเคยมี ‘กระทรวงเวทมนตร์’

เชื่อหรือไม่? ว่าประเทศไทยในอดีตนั้นเคยมี ‘กระทรวงเวทมนตร์’ แต่ใช้ในชื่อว่า ‘กระทรวงแพทยาคม’ หรือบางบันทึกเรียกว่า ‘ศาลกระทรวงแพทยา’ ซึ่งเป็นกระทรวงที่เกี่ยวกับสอบสวนพิจารณาโทษของผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการกระทำทาง ’ไสยศาสตร์’ โดยเฉพาะ เนื่องจากในสมัยนั้น ไม่ว่าชนชั้นใดก็ต่างเชื่อในเรื่องของ ไสยศาสตร์ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูง… อ่านเพิ่มเติม..

1 month ago

ทำไมเด็กถึงติดหมอนเน่า ผ้าห่มเน่า หรือตุ๊กตาเก่าๆ 🧸💕

ทำไมเด็กถึงติดหมอนเน่า ผ้าห่มเน่า หรือตุ๊กตาเก่าๆ 🧸💕 เคยสังเกตไหมว่าเด็กน้อยมักมีของชิ้นพิเศษที่พวกเขาพกติดตัวไม่ห่าง เช่น ตุ๊กตาหมี หมอน หรือผ้าห่มเก่าๆ ซึ่งเราอาจเรียกมันว่า "หมอนเน่า" "หมีเน่า" แต่สำหรับเด็กแล้ว สิ่งเหล่านี้คือความสบายใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา! 😌💫… อ่านเพิ่มเติม..

2 months ago

ตำรวจไซเบอร์ แนะนำ 5 แอปฯเช็คน้ำท่วมและสภาพอากาศ

🚨ตำรวจไซเบอร์ แนะนำ 5 แอปฯเช็คน้ำท่วมและสภาพอากาศ 🌂 ช่วงนี้ประเทศไทยบางพื้นที่ฝนตกหนักมาก เกิดน้ำท่วมขัง น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง เพื่อเป็นการป้องกันภัยให้ทันท่วงที ตำรวจไซเบอร์ขอแนะนำ 5 แอปพลิเคชันเช็กสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำ เพื่อเป็นตัวช่วยวางแผนการเดินทางและจัดการความเสี่ยงได้ทันเวลา ⚠️เอาตัวรอดจากน้ำท่วม… อ่านเพิ่มเติม..

2 months ago

ยืนยันแล้ว! ดื่มกาแฟดำหลังอาหาร ลดการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก

ดื่มกาแฟดำหลังอาหาร ลดการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก! กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันแล้ว!! ดื่มกาแฟดำหลังอาหาร ลดการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก จริง เพราะฉะนั้นควรระวัง หากจะดื่มกาแฟดำแต่กินอาหารเสริมแคลเซียมและธาตุเหล็กควรเว้นระยะห่าง อย่าดื่มต่อกันทันที ตามที่มีข่าวสารในสื่อต่าง ๆ เรื่อง ดื่มกาแฟดำหลังอาหาร… อ่านเพิ่มเติม..

2 months ago

เปิด 5 เคล็ดลับ “ดื่มน้ำอย่างไรให้เป็นยา” ตามหลักอายุรเวท

เปิด 5 เคล็ดลับ วิธีการดื่มน้ำอย่างไร ให้เป็นยาดีต่อร่างกาย ตามหลักอายุรเวท อายุรเวท (ศาสตร์แห่งชีวิตในภาษาสันสกฤต) เป็นการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย มีวัตถุประสงค์เพื่อขจัดความสกปรกออกจากร่างกาย ลดอาการของโรค เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อโรค คลายความกังวล และเพิ่มความสมดุลในชีวิต แนวคิดหลักของอายุรเวทเชื่อว่า… อ่านเพิ่มเติม..

2 months ago

This website uses cookies.