ขณะที่ พระท่าน กำลังเทศน์ ปรากฏว่า มือถือของสามี มีเสียงเรียกเข้า และเป็นเสียงดังมากจึงโดนพระท่านตำหนิ และคนไปฟังเทศน์ก็หันมามองกันเป็นแถว
พอเลิกจากการฟังเทศน์ บางคนก็เข้ามาต่อว่าต่อขาน หาว่า ไม่มีมารยาท ไม่รู้จักกฎเกณฑ์การมาฟังเทศน์ ทำให้ผู้อื่นไม่มีสมาธิ และ ขณะนั่งรถกลับบ้านก็โดนภรรยาต่อว่าต่อขานอย่างหนัก
ด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจจึงเข้าไปในบาร์ ขณะดื่มเบียร์ ก็กังวลอยู่ กับคำต่อว่าต่อขานของคนรอบข้างเมื่อตอนเช้า
เลยทำให้วางขวดเบียร์ พลาดตกโต๊ะเบียร์ กระเด็นถูกเสื้อผ้า และรอบๆข้างขวดแตกกระจาย เขาเห็นคน 2-3 คนเดินเข้ามา จึงนึกว่า
วันนี้เป็นวันซวยจริงๆ คงจะโดนต่อว่าต่อขานอีก แต่ตรงกันข้ามพวกพนักงานที่เดินเข้ามาต่างถามไถ่ว่า เขาเป็นอะไรหรือเปล่าโดนแก้วบาดไหม พนักงานบางคนก็เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะ
บางคนก็เอาไม้กวาดมากวาดเศษเบียร์ ออกให้หมด บางคนก็เอาไม้ม็อบมาถู ส่วนตัวผู้จัดการก็ถือเบียร์ มาวางให้อีกขวด พร้อมกล่าวว่า
“ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอต่อไปขอให้ระวังขึ้นแล้วกัน”
ตั้งแต่นั้นมาผู้ชายคนนี้เลิกไปวัดอีกต่อไป แต่หันมาเข้ามาบาร์แทน เพราะเขาได้รับมิตรไมตรี ความเมตตา ความเอื้ออาทร จากคนในบาร์มากกว่าคนเข้าวัด ทั้งที่คนเข้าวัดควรมีเมตา มีน้ำจิตน้ำใจ และรู้จักการให้อภัย มากกว่าคนในบาร์ แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นคนเข้าวัด ก็ต้องระวัง อย่ายึดถือกฎเกณฑ์ความถูกต้อง จนเป็นคนแล้งน้ำใจ อย่าลืมว่ามนุษย์เราไม่มีใครที่จะไม่ผิดพลาด
ยิ่งความผิดพลาด เล็กๆน้อยๆ ก็ไม่ควรเอามาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับต้องต่อว่าต่อขาน กลายเป็นผลักไส ให้คนออกไปจากวัด แทนที่เขาจะมาเข้าวัดฟังเทศน์ ฟังธรรม เพื่อขัดเกลาจิตใจ กับทำให้ผู้อื่นหันหลังให้วัดโดยเด็ดขาด ความถูกต้อง
มิใช่อยู่ที่การรักษากฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด แต่บางครั้งต้องมีการอะลุ่มอะหล่วย และเข้าใจผู้อื่นบ้างสังคมถึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะ.. ขอบคุณ postsread