การเจริญภาวนา เป็นการหนีพ้นหนี้กรรมถาวร แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้อย่างไร ขอให้ลองพิจารณาตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญของกรณี พระองคุลีมาล หรือ อหิงสกะ ให้ดี เป็นที่ทราบกันดีว่า
องคุลีมาลเป็นขุนโจรจอมวายร้ายที่หลงผิด แต่ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงพ้นกรรมได้เพราะพระธรรม และธรรมชั้นสูงที่สุดที่องคุลีมาล บรรลุก็คือ การเจริญสติภาวนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์
ก่อนที่พระองคุลีมาลจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านต้องผจญกับความทุกข์ยากเพราะกรรมที่ฆ่าคนไว้มาก ถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน จนศีรษะแตก บาตรแตก จีวรขาดก็ยินดีที่จะรับผลกรรมนั้นโดยดี แต่ภายในใจก็ยังมีข้อสงสัยและขุ่นมัวมาก เนื่องจากจิตฟุ้งซ่านไปถึงบาปกรรมครั้งในอดีตที่เป็นมหาโจรฆ่าคนมากมายมาตามหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าทรงทราบดีเรื่องปัญหาของการปฏิบัติธรรมของท่านองคุลีมาล ที่แม้จะเคร่งครัดในศีล ในพระวินัยอย่างดีแล้วก็ยังไม่อาจบรรลุธรรมได้ จึงได้ตรัสสอนธรรมว่า
“ดูกร องคุลีมาล เธออย่าไปมัวครุ่นคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และอย่าพะวงในสิ่งที่มาไม่ถึงเลย สิ่งใดที่ล่วงมาแล้วก็เป็นอันว่าดับไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ ส่วนอนาคตก็ยังไม่ต้องคะนึงถึง เพราะมันเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จงมุ่งพิจารณาสภาวธรรมในปัจจุบันเพียงอย่างเดียวเถิด..”
สายตาขององคุลีมาลมองขึ้นไปยังบนท้องฟ้าได้เห็นก้อนเมฆและพระจันทร์ ก็เข้าใจในสิ่งที่พระพุทธองค์สอน แสงสว่างจากดวงจันทร์ถูกบดบังเพราะเมฆในอดีต แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เมฆย่อมเคลื่อนลอยถอยห่างให้พระจันทร์ส่องแสงได้ฉันใด การปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ฉันนั้น พระองคุลีมาลตั้งใจเจริญภาวนาให้จิตรู้อยู่เฉพาะปัจจุบัน ในที่สุดก็เกิดความแช่มชื่นในดวงจิตชำแรกกิเลสทั้งหมดให้สลายหายไปบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด
ทีนี้เมื่อพระองคุลิมาลได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์ก็เป็นผู้ที่พาหนีพ้นหนี้กรรมที่เคยทำมาทั้งหมด กรรมที่ฆ่าคนตายเป็นจำนวนมากที่เคยทำก็ถือว่าเป็นเพียง กรรมที่สักแต่ทำ เพราะความหลงผิด แต่เจตนาร้ายนั้นอ่อน และมีผลกรรมเป็นอโหสิกรรมจากความเป็นพระอรหันต์
กรรมหนักในอดีตชาติก็ไม่ได้ทำ เศษกรรมที่เหลือจึงกลายเป็นเพียงถูกหินขว้างปาจากประชาชนเท่านั้น ท่านองคุลีมาลจึงเปรียบเหมือนบุคคลที่เกิดใหม่อีกครั้งที่เรียกว่า “อริยชาติ” หรือการเกิดอันประเสริฐ
การเจริญภาวนาด้วยวิธีที่ถูกต้องจึงเป็นการชำระกรรมที่เคยทำไว้และทำให้ได้มาซึ่งปัญญา จิตก็หมดกิเลสไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ เมื่อจิตไม่มีมลทินกรรมใดๆ ก็ถือเป็นอันยุติไปได้เพราะผลแห่งกรรมไม่รู้จะตามไปส่งผลให้ใคร เหมือนบุรุษไปรษณีย์ ตามไปส่งจดหมายที่เจ้าของตายเสียแล้ว ฉันนั้น
วิธีการเจริญภาวนา
การเจริญภาวนานั้นผู้เขียนคงพอจะอธิบายได้อย่างง่ายๆว่า เป็นการพยายามตระหนักรู้ดูอาการของกายที่เคลื่อนไหว คือ ดูลมหายใจของตนเองขณะที่กำลังเคลื่อนไหว ทำนี่ ทำโน่น ทำนั่น จากนั้นก็มาพิจารณาดูที่ความรู้สึก คือ ทุกข์ และสุข และเฉยๆ พิจารณาไปยังความคิดที่ฟุ้งซ่านไปยังเรื่องราวต่างๆ และความวูบไหวเปลี่ยนแปลงต่างๆของจิต
ทั้งหมดนี้ ขอให้ลองพิจารณาดูด้วยการ “ลองจับตาดูมัน” เท่านั้น ไม่ต้องถึงกับตั้งหน้าตั้งตาดูให้เกิดความเครียดแต่ประการใด การกระทำทุกอย่างขอให้ทำอย่างผ่อนคลาย ฝึกดู ฝึกสังเกตกาย อาการที่เกิดขึ้นกับตนเอง ดูจิต และสภาพที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทั้งหมด ไปเรื่อยๆ
ทำไปเหมือนเรื่องธรรมดาๆ ถ้าสามารถจับจุดถูก ก็จะเห็นอาการของจิตที่มันกำลังวูบไหวไปมา พอเราหาจิตเจอก็เหมือนหาเพื่อนที่กำลังเล่นซ่อนแอบเจอ ก็จะจับได้และหลุดพ้นจากความทุกข์ หรือ กรรมทั้งหลายทั้งมวล
อาการที่เราต้องพยายามหาเพื่อนที่เล่นซ่อนแอบเจอนั้นแหละก็คือ ความสุข ความปีติ เป็นความสว่างโล่งแก่ชีวิตและจิตใจในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นแหละคือการหลุดหนีพ้นกรรมได้อย่างแท้จริง สิ่งที่ผู้เขียนพยายามกล่าวถึงนั้นเป็นการร้อยเรียงคำพูดให้พอเข้าใจง่ายที่สุด
หากคุณผู้อ่านยังไม่เข้าใจก็ควรลองหาโอกาสไปฝึกเจริญวิปัสสนากรรมฐานกับสำนักต่างๆ ที่มีครูบาอาจารย์ที่รู้จริง เมื่อได้ลองฝึกแล้วก็ลองกลับมาอ่านดูที่ผู้เขียนสาธยายไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอนำวิธีการที่ได้รับมาจากครูบาอาจารย์เพื่อนำมาถ่ายทอดถึงวิธีการฝึกที่เห็นผลได้จริงจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองดังนี้
๑. ใช้วิธีคิดใคร่ครวญถึงความตายเป็นอารมณ์ (มรณานุสสติกรรมฐาน)
วิธีพิจารณานี้อาจฟังดูน่ากลัว แต่ก็เป็นความจริงตามธรรมชาติที่ว่าไม่มีมนุษย์คนใดหนีความตายได้พ้นไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ เราจึงไม่ควรโกรธหรือผูกอาฆาตกับใครให้เป็นเวรเป็นกรรมกัน อยู่กันไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตายจากกัน
ทุกวันนี้เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันของเรา เราก็เดินทางเข้าใกล้ความตายไปทุกขณะเพราะเราแก่ลงทุกวันทุกวินาที การระลึกถึงความตายจึงเป็นการเตือนสติไม่ให้ยึดติดกับสิ่งต่าง ๆไม่ให้โลภ โกรธ หลงกับสิ่งใด ๆก่อนที่ความตายจะมาถึง
เมื่อได้คิดถึงความตายอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้ตัวของเราเองกลายเป็นผู้ที่ไม่มีความประมาทในชีวิต และปล่อยวางจากสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นไว้ได้ง่ายขึ้น
วิธีการพิจารณาถึงความตายนี้ “เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีจิตยึดติดอยู่ในวัตถุต่างๆ” เพราะเมื่อเราตายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่พยายามขวนขวายหามาไม่ว่าตำแหน่งหน้าที่การงาน อำนาจบารมี บ้านหลังใหญ่ ๆ รถยนต์คันหรู ๆก็ไม่มีความหมายไม่ได้ตามติดไปกับตนเองเลยและ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเราแม้จะมีความเสียใจในช่วงแรก ๆแต่ไม่นานก็จะพากันลืมไปทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่นไว้ก็กลายเป็นโมฆะกันไปทั้งหมด
๒. ใช้วิธีพิจารณาถึงสิ่งที่ไม่สวยงามเป็นอารมณ์ (อสุภกรรมฐาน)
วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีจิตยึดมั่นในรูปที่สวยงามน่าหลงใหลของร่างกายผู้อื่น คือ เป็นผู้ที่มีจิตรักชอบคนที่มีรูปสวยรูปงามน่าหลงใหลจนทำให้อยากเป็นเจ้าของ ได้ปล่อยวางความอยากนั้นได้ง่ายขึ้น คือใช้การพิจารณาถึง “ซากศพ” ว่าไม่ว่าจะเป็นร่างกายของตนเองหรือคนอื่นก็ตาม
การพิจารณาเช่นนี้จะทำให้เห็นความจริงที่ว่าที่เราคนเห็นหล่อๆสวย ๆอย่างนั้นไม่สามารถทนอยู่เช่นนั้นได้ตลอดไป เมื่อถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนสภาพจากหนุ่มสาวไปอยู่ในวัยชรา เพียงแค่นี้เราก็มองหาความสวยงามใด ๆไม่ได้แล้ว และสุดท้ายก็ตายกลายเป็นศพ
เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้ตายลงไปแล้ว จากสิ่งที่เราเคยปรารถนาเราก็จะเปลี่ยนความรู้สึกจากที่เคยอยากได้อยากครอบครองก็จะพาให้รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันทีไม่ยอมเข้าใกล้ อยู่ในบ้านก็จะพยายามรีบขนไปไว้ที่วัด
ซากศพเหล่านั้นก็จะค่อยเน่าเปื่อย พุพอง ขึ้นอืด ไร้คุณค่าและไร้ประโยชน์ทั้งหมดอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างก็ได้เพียงเป็นอาหารให้สัตว์อย่างหนอนแมลงและเชื้อแบคทีเรีย
เมื่อเผาแล้วก็เหลือแต่กระดูกส่วนที่เหลือก็เน่าเปื่อยผุพังเป็นปุ๋ยให้แก่พืชผักต่อไปไม่อะไรคงเหลือให้น่าพิสมัยอีกเลย
๓. ใช้วิธีการพิจารณาร่างกายว่า เป็นแหล่งรวมของสิ่งสกปรก (กายคตานุสสติกรรมฐาน)
การพิจาณาด้วยวิธีการนี้ “เหมาะสมสำหรับผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นกับความสวยงามน่าหลงใหลของตนเอง” คือ คนบางคนเกิดมามีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามเป็นที่ดึงดูดใจของคนอื่นทำให้จิตเกิดความหลงคือหลงในรูปและให้ความสำคัญกับตนเองมากเกินไป
เมื่อหลงในรูปของตนเองแล้วก็จะทำให้หลงไปอยู่กับสิ่งอื่นได้ง่ายด้วย เพราะมักจะมีจิตคิดว่าแม้แต่คนอื่นยังมานิยมชมชอบตนเอง ดังนั้นเมื่อตนเองไปหลงชอบสิ่งใดก็จะมีจิตต้องการจะไขว่คว้าสิ่งนั้นมาให้ได้เช่นกัน
การพิจารณาในที่นี้ก็คือ ให้มีจิตใคร่ครวญเห็นสภาพตามความเป็นจริงที่ว่า ร่างกายของเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นของสกปรกเป็นแหล่งรวมของสารพัด “ขี้” ทั้งหลาย ทั้งขี้หู ขี้ตา ขี้ฟัน ฯลฯ รวมไปถึงบรรดาสิ่งต่าง ๆที่อยู่ในตัวพวกกระเพาะลำไส้ ปอด ฯลฯ
เหล่านี้ก็เป็นสิ่งสกปรก เพราะหากถอดผิวหนังให้เห็นกันแล้วรับรองว่าย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของใครแน่นอน แม้แต่เนื้อหนังเครื่องในของคนที่เป็นนางงามจักรวาลหากถอดเนื้อหนังออกให้เหลือแต่อวัยวะภายในก็รับรองได้ว่าไม่มีใครชื่นชมในความสวยงามเป็นแน่
๔.ใช้วิธีพิจารณาร่างกายและสิ่งต่างๆ เป็นเพียงธาตุทั้ง 4 (ธาตุกรรมฐาน)
วิธีการนี้เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับทุกคน คือไม่ว่าเป็นผู้ที่ยังยึดติดในวัตถุ ในรูปร่างของผู้อื่น ในรูปร่างของตนเอง ในผู้ที่มีจิตผูกพันกับผู้อื่นไม่ว่าทางดีหรือร้าย สามารถใช้ได้กับทุกสิ่งไม่ว่าสิ่งใดก็ตามหรือแม้แต่เป็นผู้มีจิตกลางๆ (ไม่ยึดในสุขหรือทุกข์) ก็สามารถใช้หลักการพิจารณาแบบนี้ได้ทั้งสิ้น
การใช้หลักพิจารณานี้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่ควบรวมเอาทุกสิ่งมาพิจารณาว่าเป็นเพียงธาตุทั้ง 4 หรือเป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่ง ไม่ว่าร่างกายของเราหรือของคนอื่นเป็นที่ประชุมรวมกันของธาตุดิน คือกระดูก น้ำคือเลือดและน้ำเหลือง ลมคือลมในร่างกายทุกชนิดและไฟคืออุณหภูมิจากร่างกายและอารมณ์
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถที่จะทนอยู่ในสภาพเหล่านี้ได้นานไปก็เก่า นานไปก็แก่แล้วก็แตกสลายไป หากพิจารณาในแบบที่เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ก็คือ หากแยกอวัยวะหรือวัตถุต่าง ๆออกมาจะเห็นได้เป็นระดับเซลล์เล็ก ๆที่มาเกาะกุมรวมกัน เซลล์ทั้งหลายก็มาจากหลายแหล่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยแม้แต่อย่างเดียว
วิธีการเจริญภาวนาทั้งหลายนั้น สรุปรวมความให้เรามีความเห็นที่เป็นจริงว่า สรรพสิ่งล้วน “ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้” นั่นแหละคือการหนีพ้นกรรมคือความทุกข์ได้แท้จริง
จากหนังสือเรื่อง เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ 7 พ้นเวร พ้นกรรม รวยฉับพลันต้องทำอย่างไร โดย อมตะ เทพรักษา
การล้างพิษ (Detox) เป็นกระบวนการที่ช่วยกำจัดสารพิษหรือสิ่งสกปรกที่สะสมในร่างกายออกไป อาหารจัดได้ว่าเป็นยาที่ดีที่สุด อาหารบางประเภทสามารถช่วยในกระบวนการนี้ได้ดี โดยมีคุณสมบัติในการขับสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปนี้คือ 10 อาหารที่ช่วยในการล้างพิษ: 1. มะนาว มะนาวมีสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซีที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญในการขับสารพิษออกจากร่างกาย… อ่านเพิ่มเติม..
ข้อเข่า โดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายบานพับ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือออกกำลังกาย การดูแลข้อเข่าอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันการเสื่อมก่อนวัย และลดปัญหาอาการปวดหรือข้ออักเสบที่อาจเกิดขึ้นได้ อาหารบำรุงข้อเข่าให้เสื่อมช้าลง ปลา ที่มีโอเมก้า 3 เช่น โดยเฉพาะอาหารทะเล เช่น… อ่านเพิ่มเติม..
• ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระเถระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์มาก คู่กับพระสารีบุตร ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระมหาโมคคัลลานะ มีชื่อเดิมว่า "โกลิตะ" เป็นบุตรพราหมณ์ท้ายบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์ โกลิตมาณพ เป็นเพื่อนสนิทกับอุปติสสมาณพ หรือ พระสารีบุตร… อ่านเพิ่มเติม..
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อโมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ (พระสารีบุตร) เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย… อ่านเพิ่มเติม..
บทสวดมนต์ประจำวันเกิด แบบเต็มและแบบย่อทั้ง 7 วัน ตามกำลังวัน สวดก่อนนอนชีวิตราบรื่น ร่มเย็น เสริมสิริมงคล ประโยชน์ของการสวดมนต์ก็คือทำให้จิตใจเราผ่องใส และจิตใจสงบมากขึ้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ พระประจำวันเกิด คือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร บทสวดมนต์บูชาพระประจำวันอาทิตย์… อ่านเพิ่มเติม..
อาการท้องผูก ท้องอืด ถึงแม้จะไม่ส่งผลอันตรายมากถึงชีวิตแต่ก็สร้างความอึดอัดไม่สบายท้อง หรืออาจลุกลามกลายเป็นโรคอันตรายในอนาคตได้ และที่สำคัญอาการเหล่านี้มักส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง! ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยใยอาหาร ทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น ผลไม้ 9 ชนิดช่วยขับถ่าย กากใยสูง แก้อาการท้องผูกชนิดไหนบ้างนั้น มาดูกันเลย 1.มะละกอสุก เป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงและหาทานง่าย… อ่านเพิ่มเติม..
This website uses cookies.