การเติมลมยางรถยนต์ ถือเป็นปัจจัยหลักในการดูแลรักษายางรถยนต์ ถ้าขาดการดูแลที่ดี จะเกิดผลเสียต่อรถยนต์หลายประการ ควรตรวจเช็คสม่ำเสมอ การเติมลมยางรถยนต์ ดังนี้
การเติมลมยางรถยนต์ ควรเติมเท่าไรถึงดี
การเติมลมยางรถ น้อยเกินไป : ทำให้ยางจะบวมล่อนได้ง่าย อายุการใช้งานลดลง ดอกยางสึกผิดปกติอาจจะสึกที่ขอบยางข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง สึกที่ไหล่ยางหรือสึกที่ปลายดอกมีความฝึดที่ผิวสัมผัสมาก ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกว่าปกติ
การเติมลมยางรถ ลมมากเกินไป : เมื่อได้รับแรงกระแทกจะระเบิดได้ง่าย อายุการใช้งานลดลง ดอกยางโดยเฉพาะกลางหน้ายางจะสึกมาก ถ่ายเทการสั่นสะเทือนหรือการกระแทกขึ้นสู่ตัวรถได้มาก ขาดความนุ่มนวล
เติมลมยางทั้งทีต้องอิงตามคู่มือประจำรถ
ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าการเติมลมยางรถยนต์ให้ได้ระดับที่เหมาะสมพอดีนั้นต้องอิงตามคู่มือประจำรถยนต์แต่ละรุ่น ซึ่งจะมีให้แก่ผู้ขับขี่เมื่อตอนซื้อรถอยู่แล้ว แต่หากคู่มือนั้นหายไปก็สามารถดูได้จากป้ายโลหะข้างประตูคนขับ (บางกรณีอาจติดที่ประตูหลังขวา หรือตำแหน่งคานกลางรถก็เป็นได้) ซึ่งจะปรากฎเป็นตัวเลขรหัสอยู่คู่กับรูปรถกระบะ เช่น
ด้านซ้ายเป็นรูปรถกระบะที่ด้านหลังสำหรับการบรรทุกสิ่งของว่างอยู่ พร้อมกับมีตัวเลขในเครื่องหมายวงเล็บ [38] ที่ล้อด้านหน้า และ [42] ที่ล้อด้านหลัง แสดงว่าแนะนำให้เติมลมยางล้อหน้าที่ 38 ปอนด์ ล้อหลังที่ 42 ปอนด์ กรณีที่รถว่าง ไม่ได้บรรทุกสิ่งของ
ส่วนด้านขวาเป็นรูปรถกระบะ ที่มีกล่องอยู่ท้ายรถ พร้อมตัวเลข [38] ที่ล้อหน้า และ [51] ที่ล้อหลัง หมายถึงหากต้องบรรทุกสิ่งของควรเติมลมยางที่ล้อหลังให้ถึง 51 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการเติมลมยางรถกระบะนั้น จะใช้แรงดันอากาศมากกว่ารถยนต์สี่ล้อทั่วไป (รถยนต์สี่ล้อควรมีแรงดันลมยาง 25 ถึง 30 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว)
การเติมลมยาง ต้องสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์การใช้งานและน้ำหนักสิ่งของที่บรรทุก การเติมลมยางสำหรับรถกระบะต้องดูที่รุ่นรถและวัตถุประสงค์ในการใช้งานด้วย อาทิ
รถกระบะตอนเดียว รถกระบะแค็บ และรถกระบะสี่ประตู ควรเติมลมยางรถให้แก่ล้อคู่หน้าในระดับแรงดัน 35 ถึง 38 ปอนด์ ส่วนล้อคู่หลังควรเพิ่มมากกว่าล้อคู่หน้าเพื่อรองรับน้ำหนักในการบรรทุกสิ่งของที่เพิ่มขึ้น ลดการกระดอนของตัวรถ (ส่งผลต่อความรู้สึกว่านั่งแล้วไม่นุ่ม) โดยเพิ่มให้แรงดันลมอยู่ในช่วง 38 ถึง 40 ปอนด์
การเติมลมยางรถกระบะขนาดใหญ่กลุ่มรถปิคอัพ มักใช้เพื่อวัตถุประสงค์ขนย้ายสิ่งของน้ำหนักมากเกือบตลอดเวลา เช่น เครื่องเรือน เครื่องไม้ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ จึงควรเพิ่มแรงดันลมยางให้มากขึ้นเป็น 35 ถึง 40 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ได้แต่ไม่ควรเกิน 65 ปอนด์ในแต่ละล้อ (กรณีบรรทุกสิ่งของหนักไม่เกิน 1 พันกิโลกรัม หรือ 1 ตัน)
การเติมลมยางที่ดีให้สังเกตจากน้ำหนักพวงมาลัยและความรู้สึกในการขับขี่
บรรดากูรูรถแนะนำว่า สามารถจับสังเกตได้ง่าย หากเป็นผู้ขับขี่ที่ใช้รถคันใดคันหนึ่งเป็นประจำ อยู่แล้ว หลังการเติมลมยางรถกระบะหากรู้สึกว่าพวงมาลัยหนักผิดปกติ ควบคุมการหมุนซ้ายขวาได้ยาก แสดงว่าลมยางอ่อนเกินไป แก้ไขได้ง่าย ๆ เพียงเพิ่มแรงดันลมยางล้ออีกข้างละ 2 ถึง 3 ปอนด์
หรือหากรู้สึกว่าขับรถกระบะคู่ใจแล้วไม่นุ่มอย่างเคยหลังการเติมลมยาง มีความรู้สึกกระด้าง นั่งแล้วกระดอน โดยเฉพาะเมื่อวิ่งผ่านถนนที่มีความขรุขระ หรือมีลูกระนาด ก็มีความโคลงเคลงมากกว่าปกติ นั่นแสดงว่าปริมาณลมยางที่เติมมากเกินไปจนยางแข็ง ควรลดแรงดันลมยางลงข้างละ 2 ถึง 3 ปอนด์ จะช่วยให้สมรรถนะในการขับขี่นุ่มนวลขึ้น
เติมลมยางต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเติมลมยางรถกระบะ ควรเป็นช่วงที่อุณหภูมิอากาศไม่ร้อนจัด รถได้จอดหยุดนิ่งหลังการใช้งานหนักต่อเนื่องมาแล้วหลายชั่วโมง เพื่อให้ยางรถอยู่ในสภาพที่เป็นปกติ ยางไม่ขยายตัว เสถียรที่สุด และอุณหภูมิของพื้นถนนก็ไม่สูงนัก
เพราะความร้อนเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้การเติมลมยางรถกระบะมีค่าคลาดเคลื่อนไป อาทิ ทำให้เติมลมยางมากเกินปกติ เสี่ยงต่ออาการหน้ายางสึกหรอ โดยเฉพาะส่วนดอกยางและร่องยางแนวกลางล้อ ที่เป็นส่วนสัมผัสกับพื้นถนน อันทำให้ยางเกิดระเบิดได้ง่าย
ผู้ขับขี่หลายคนจึงใช้วิธีเติมลมยางที่อู่ตอนค่ำแล้ววัดระดับแรงลมยางซ้ำอีกครั้งด้วยเกจวัดลมยางส่วนตัวในตอนเช้าก่อนเดินทาง ก็นับว่าเป็นเทคนิคที่ดีมาก เพราะการมีเกจประจำตัวหรือประจำรถแต่ละคันจะช่วยให้ค่าที่วัดได้มีความเที่ยงตรงและเป็นการเช็คซ้ำค่าแรงดันลมยางจากอู่อีกครั้งหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าทั้งสี่เทคนิคการเติมลมยางรถกระบะ จากกูรูรถที่เรานำมาบอกต่อนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่าย และช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยและประหยัดยิ่งขึ้น (ไม่ควรลืมว่าการเติมลมยางรถที่มากเกินไปนอกจากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายยังทำให้ยางสึกหรอเร็วทำให้ต้องเปลี่ยนบ่อยกว่าที่ควร)
ทั้งนี้ในปัจจุบันยังมีตัวเลือกใหม่สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ คือ ลมยางแบบไนโตรเจน ซึ่งถือว่าเป็นแก๊สที่มีความปลอดภัยสูงในการเติมลมยางรถทุกประเภท โดยเฉพาะรถแข่งในสนามแข่งรถยนต์มืออาชีพ เนื่องจากผ่านการวิจัยและทดสอบมาแล้วว่าไม่เกิดความร้อนสะสมและไม่เพิ่มแรงดันลมยางหลังการขับขี่
ทำให้ลดอัตราเสี่ยงที่ยางจะระเบิดได้ อย่างไรก็ตามก่อนการเติมลมยางไนโตรเจนจำเป็นต้องปล่อยลมยางธรรมดาที่มีอยู่ออกก่อน เพราะหากลมทั้งสองแบบรวมกันจะทำให้ลมยางไนโตรเจนเสียคุณสมบัติ และกลายสภาพเป็นลมยางแบบปกติ
การตรวจเช็คลมยาง : ตรวจเช็คในขณะที่ยางยังเย็นอยู่และเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องควรเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานที่บริษัทรถกำหนด นอกจากนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเก็บยางไว้นานๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ยางสัมผัสกับความร้อน แสงแดด ลม ฝน ความชื้น น้ำมันและสารเคมีต่างๆ หากสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ อายุการใช้งานของยางก็จะยาวนานขึ้น
หลักในการจำความดัน ลมยางแบบง่ายๆ คือ
-หากเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ควรเดิมแรงดันลมยางประมาณ 25 -30 ปอนด์
-หากเป็นรถยนต์ขนาดกลางถึงใหญ่ ควรเติมแรงดันลมยาง 30 -35 ปอนด์
-หากเป็นรถกระบะ ควรเติมแรงดันลมยางไม่เกิน 65 ปอนด์
ข้อควรคำนึงทกครั้งเวลา เติมลมยาง
– ต้องเติม ลมยาง ให้ครบทั้งสี่ล้อในปริมาณแรงดัน ลมยาง ที่เท่ากัน เพราะหากเติมปริมาณ ลมยาง ไม่เท่ากันจะทำให้การสึกหรอของยางไม่เท่ากันทั้งหมด
– ไม่ควรเติม ลมยาง ในขณะที่ยางมีอุณหภูมิสูง เนื่องจากความร้อนทำให้อากาศขยายตัว
– สำหรับผู้ที่ใช้ยางเรเดียลต้องเติมลมมากกว่ายางผ้าใบธรรมดา
– หากรถยนต์ของคุณมีการบรรทุกของที่มีน้ำหนักมากบ่อยๆ หรือมีผู้โดยสารมากในการเดินทาง ควรเติม ลมยาง เผื่อจากค่าที่กำหนดเพิ่มอีกสัก 2 -3 ปอนด์ได้ไม่ผิดกติกา