พระพุทธเจ้า ทรงแสดงอุบายแก้ง่วง ๘ วิธีแก่พระโมคคัลลานะ

349
views
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงอุบายแก้ง่วง

พระพุทธเจ้าทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ

พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อโมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ (พระสารีบุตร) เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกัน

พระมหาโมคคัลลานะ

เมื่ออุปติสสมาณพ (พระโมคคัลลานะ) ได้ไปพบพระอัสสชิในกรุงราชคฤห์ ได้ฟัง “พระคาถาเย ธัมมา” จากพระอัสสชิ ทำให้ได้ดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุโสดาบัน อุปติสสมาณพได้นำคำสอนของพระอัสสชิ ไปแจ้งให้โกลิตมาณพ( พระสารีบุตร) ทราบ โกลิตมาณพก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน ทั้งสองมาณพได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนาราม และได้ทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ทรงอนุญาตให้อุปสมบทเป็นภิกษุ โกลิตมาณพซึ่งอุปสมบทเป็นพระมหาโมคคัลลานะ บำเพ็ญความเพียรได้ ๗ วัน ก็สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนอุปติสสมาณพ ซึ่งอุปสมบทเป็นพระสารีบุตร อุปสมบทได้ ๑๕ วัน จึงสำเร็จพระอรหันต์

ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนมาฆะ (วันมาฆบูชา) ในคืนนั้น พระพุทธเจ้าทรงประทานพระ “โอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาต” จากนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย (ทุติยสาวก) เลิศกว่าผู้อื่นในทางฤทธิ์มาก

พระพุทธเจ้า ทรงแสดงอุบายแก้ง่วง

พระมหาโมคคัลลานะ หลังจากที่บวชได้ ๗ วัน ท่านมุ่งมั่นว่าจะต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้ จึงมุมานะเจริญกรรมฐานอยู่ที่หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ อย่างหามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอน แต่ในที่สุดท่านก็เหน็ดเหนื่อยเกิดความโงกง่วงเข้าครอบงำ จนถึงกับนั่งสัปหงก ส่งผลให้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ พระพุทธองค์ทรงตรวจรู้ด้วยพระญาณ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า และทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงตามลำดับ ดังนี้:

๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไรอยู่ ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ เธอพึงทำไว้ในใจซึ่ง สัญญานั้นให้มาก ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

๒. ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาแล้ว ได้เรียนมา แล้วโดยพิสดาร (สวดธรรมออกเสียง) ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอ ละความง่วงนั้นได้

๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับแล้ว ได้เรียนมาแล้วให้มากด้วยใจ จะเป็นเหตุให้ละความง่วงนั้นได้

๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงได้

๕. ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

๖. ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญา ตั้งความสำคัญในกลางวัน ว่า กลางวันอย่างไร กลางคืนอย่างนั้น กลางคืนอย่างไร กลางวันอย่างนั้น จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

๘. ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยา คือนอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า นอนโดยการกำหนดสติสัมปชัญญยะ ทำความหมายในการนอน ความสุขในการ เอนข้าง ความสุขในการเคลิ้มหลับ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่
ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

`พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ

  ถมนคร เครื่องถมเมืองนคร