จากความเชื่อ “เปรต” ผีที่หิวโหย 12 ตระกูล 21 จำพวก

540
views

เปรต “Preta” หมายถึงผี ตามความเชื่อในหลายศาสนาทั้ง ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ และศาสนาเชน ตามความเชื่อนั้น เปรตเป็นผีได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มาก โดยต้องทรมานกับความหิวโหยและความเจ็บปวดทางกาย

เปรตในศิลปะพม่า
เปรตในศิลปะพม่า

ความเชื่อเรื่องเปรตมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางศาสนาในประเทศอินเดียตั้งแต่ยุคโบราณ และเริ่มแพร่กระจายสู่สังคมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก คำว่า “Preta” มักจะถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “ผีที่หิวโหย” ความเชื่อเรื่องเปรตนั้นเริ่มต้นมาจากความเชื่อในชีวิตหลังความตาย และมักเกี่ยวข้องกับการเป็นโอปปาติกะ (ผู้ที่ผุดขึ้นเองจากอดีตกรรม มิต้องอาศัยการปฏิสนธิ) นำไปสู่ความเชื่อเรื่องเวรกรรมที่ต้องได้รับในโลกหน้าและการกลับชาติมาเกิดตามแต่ผลกรรมที่ได้กระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ การจะหลุดพ้นจากการเป็นเปรตนั้นต้องอาศัยเวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์ และหากมิได้สั่งสมบุญวาสนาพอหรือไม่ได้รับการอุทิศส่วนกุศลจากคนรู้จัก บุคคลนั้นอาจต้องทุกข์ทรมานเป็นเปรตไปชั่วนิรันด์

การจะเกิดเป็นเปรตในโลกหน้านั้น โดยมากมักเป็นผลมาจากการก่อกรรมทำเข็ญอย่างร้ายแรงเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การทำร้ายผู้อื่นทั้งทางกาย วาจา และ ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่ถูกทำร้ายเป็นบุพการีของตนหรือเป็นพระสงฆ์ การพูดปด พูดส่อเสียด การลักทรัพย์ รวมถึงความโลภ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเกิดขึ้นจากการเคยเป็นสัตว์นรกที่เวียนว่ายอยู่ในนรกนานนับโกฏิปี แต่ดวงวิญญาณยังไม่บริสุทธิ์พอที่จะไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น จีงต้องชดใช้กรรมต่อ โดยจะต้องไปเกิดเป็นเปรตที่มีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด เช่น มีร่างกายเน่าเฟะเสมือนซากศพ หรือมีสิ่งปฏิกูลอยู่ทั่วร่างกาย มักจะหิวโหยอยู่ตลอดเวลา และส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด หรือแม้แต่เป็นเปรตภายใต้รูปร่างของสัตว์ประหลาดชนิดต่าง ๆ ตามความเชื่อแต่ละประเทศ เปรตมีร่างกายและความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ในขณะที่มนุษย์ทั่วไปเมื่อมองดูสายน้ำจะมองเห็นเป็นเพียงกระแสน้ำใส ๆ ธรรมดา แต่เมื่อเปรตจ้องมองแม่น้ำจะมองเห็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัว เช่น หนอง หรือ เลือด

จากความเชื่อและอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ เปรตจึงมีอิทธิพลอย่างเด่นชัดในวัฒนธรรมของอินเดีย ศรีลังกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ทิเบต ไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์

ภาพวาดเปรตแบบญี่ปุ่น
ภาพวาดเปรตแบบญี่ปุ่น

เปรต แปลว่า ในทางศาสนาพุทธหมายถึง อมนุษย์พวกหนึ่งที่เกิดในเปตติวิสัยภูมิซึ่งเป็น ๑ ใน ๔ อบายภูมิ เปรตมีหลายประเภท เช่นประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร โบราณมีความเชื่อที่ว่า ถ้าใครทำร้ายพ่อแม่ ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นผีเปรต

การทำพลีกรรมแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือการทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตายว่า เปตพลี หรือ บุพเปตพลี

เปรตมีหลายประเภท แบ่งตาม เปตวัตถุอรรถกถา แบ่งได้ 4 ประเภท

  1. ปรทัตตูปชีวิเปรต คือ เปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้ หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร
  2. ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ แสวงหาของไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อเจอน้ำหรืออาหาร แต่เมื่อจะเอาอาหารเหล่านั้นเข้าปาก อาหารเหล่านั้นก็จะกลายหินหรือทราย ไม่สามารถกินได้ กรรมที่ทำให้เป็นเปรตประเภทนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว หวงแหนในทรัพย์ของตน ไม่เคยทำบุญทำทาน แม้ทำก็ทำด้วยความเสียดาย
  3. นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
  4. กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย มีร่างกายใหญ่โต แต่ไม่ค่อยมีเลือดและเนื้อ มีสีคล้ายใบไม้แห้ง ตาโปนคล้ายตาปู มีปากเท่ารูเข็มอยู่กลางศีรษะ

ผีเปรต

แบ่งตาม คัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ เปรตทั้ง 12 ตระกูล และกรรมที่ทำ

  1. วันตาสาเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติก่อนเป็นคนตระหนี่จับขั้วหัวใจ เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์ แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดน้ำลายลงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตในตระกูลนี้
  2. กุณปขาทาเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติที่เป็นมนุษย์มีความตระหนี่ เมื่อมีผู้มาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยความปรารถนาจะแกล้งประชด ไม่เคารพในทาน จึงมาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้
  3. คูถขาทาเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งที่เป็นมนุษย์ มีความตระหนี่จัด เมื่อหมู่ญาติที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้คนมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอข้าว ขอน้ำดื่ม จะเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ชี้ไปที่มูลสัตว์พร้อมกับบอกว่า “ถ้าอยากได้ ก็จงเอาไปกินเถิด แต่จะมาเอาข้าวปลาอาหาร ข้าไม่ให้หรอก” แล้วก็ขับไล่ไสส่ง ด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเปรตชนิดนี้
  4. อัคคิชาลมุขาเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกทั่วในปากตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน ไฟไหม้ปากไหม้ลิ้นเจ็บแสบเจ็บร้อน ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องไห้ครวญครางไปไกลถึงร้อยโยชน์ พันโยชน์ ถึงกระนั้นไฟก็ไม่ดับ กลับเป็นเปลวเผาลนปากและลิ้นหนักเข้าไปอีก กรรมที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่เหนียวแน่น เมื่อมีใคร มาขอ ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวคนอื่นดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังจะแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบ จะได้เลิกมาขอ เพราะไม่เห็นอานิสงส์ของการทำทาน
  5. สุจิมุขาเปรต คือ เปรตที่มีปากเล็กเท่าขนาดรูเข็ม จะได้อาหารมาบริโภคแต่ละครั้งก็ไม่พออิ่ม เพราะมีปากเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้ง่ายๆ อยากกินแต่กินไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานแสนลำบาก ร่างกายผอมโซดำเกรียม กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ในชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อมีใครมาขออาหาร ก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาที่จะถวายทานแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์สมบัติ ผลกรรมตามสนอง ต้องมาเกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม
  6. ตัณหาชิตาเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนจนเกิดทุกข์จากความหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ เมื่อมองไปเห็นสระ บ่อ ห้วย หนอง ก็ตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งไปโดยเร็ว แต่ครั้นไปถึงแหล่งน้ำนั้น กลับกลายเป็นสิ่งอื่นด้วย อำนาจกรรมบันดาล กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อ ปิดหม้อ ไม่ให้คนอื่นได้ดื่มกิน ครั้นละโลกแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตอดอยากข้าวน้ำดังกล่าว
  7. นิชฌามักกาเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา สูงชะลูดดำทะมึน แลดูน่ากลัวมาก มีกลิ่นเหม็นเน่า มือและเท้าเป็นง่อย ริมฝีปากด้านบนห้อยทับริมฝีปากด้านล่าง มีฟันยาว มีเขี้ยวออกจากปาก ผมยาวพะรุงพะรัง มีความอดอยากเหลือประมาณ ยืนทื่ออยู่ที่เดิมไม่ท่องเที่ยวไปไหนเหมือนเปรตชนิดอื่น กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลก็โกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่า ท่านเหล่านั้นจะมาขอของตน จึงแสดงกิริยาอาการเยาะเย้ยถากถาง ขับไล่สมณพราหมณ์ เหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่เป็นคนแก่คนเฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเพราะความชรา แกล้งให้ท่านตกใจจะได้ตายไว ๆ ตัวเองจะได้ครอบครองสมบัติ
  8. สัพพังคาเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีดเหมือนดาบและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาตะกายข่วนร่างกายตนเองให้ขาดเป็นแผลด้วยเล็บ แล้วกินเลือดเนื้อของตนเองเป็นอาหาร กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชอบขูดรีดชาวบ้าน เอาเปรียบผู้อื่น หรือบางครั้งชอบรังแกหยิกข่วนบิดามารดา ถ้าเป็นหญิงก็หยิกข่วนสามีของตน
  9. ปัพพตังคาเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าขนาดของภูเขา เวลากลางคืนสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ กลางวันเป็นควันล้อมรอบกาย เปรตเหล่านี้ต้องถูกไฟเผาคลอก นอนกลิ้งไปมาเหมือนขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่า ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องไห้ปานจะขาดใจ กรรมที่เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ได้เอาไฟเผาบ้าน เผาโรงเรียน เผากุฏิ วิหาร เป็นต้น
  10. อชครเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉาน เช่น มีรูปร่างเป็นงูเหลือม เสือ ม้า วัว และควาย เป็นต้น แต่จะถูกไฟเผาไหม้ทั่วร่างกายทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่างเว้น แม้แต่วันเดียว กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เมื่อเห็นสมณพราหมณ์ ผู้มีศีลมาเยือน ก็ด่าเปรียบเปรยท่านว่า เสมอด้วยสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ เพราะไม่อยากให้ทาน หรือแกล้งล้อเลียนเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
  11. เวมานิกเปรต คือ เปรตที่มีสมบัติ คือ วิมานทองอันเป็นทิพย์ บางตนจะเสวยสุขราวกับเทวดาในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนจะเสวยทุกข์ที่เกิดจากความตระหนี่ในทรัพย์ บางตนเสวยสุขเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะเสวยทุกข์ ตามสมควรแก่กรรม กรรมที่ทำให้เกิดมาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต หรือเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้รักษาศีลเพียงอย่างเดียว แล้วไม่มีศรัทธาในการสร้างบุญกุศลอื่น และมีความสงสัยในเรื่องบุญเรื่องบาป แม้รักษาศีลก็รักษาแบบเสียไม่ได้ หรือไม่ตั้งใจรักษา
  12. มหิทธิกาเปรต คือ เปรตที่มีฤทธิ์และรูปงามดุจเทวดา แต่ว่าอดอยากหิวโหยอาหารอยู่ตลอดเวลา เหมือนเปรตชนิดอื่นๆ จะเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เมื่อพบคูถมูตร และของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุสามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงมีรูปงามผุดผ่องราวเทวดา แต่ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจคร้านต่อการบำเพ็ญสมณธรรมตามวิสัยของบรรพชิต จิตใจจึงมากไปด้วยความโลภ โกรธ หลง มีความเข้าใจผิดว่า “เราบวชแล้ว รักษาแต่ศีลอย่างเดียวก็พอ ไม่เห็นต้องทำบุญให้ทานเหมือนฆราวาสเลย” ครั้นเมื่อละโลกจึงมาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้

ผีเปรต

แบ่งตามวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลี แบ่งได้ 21 จำพวก

  1. อัฏฐีสังขสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่กระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ
  2. มังสเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีแต่เนื้อเป็นชิ้นๆ กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าโค
  3. มังสปิณฑเปรต คือ เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่านกขาย
  4. นิจฉวิเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนังห่อหุ้ม กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพเป็นคนฆ่าแกะขาย ฆ่าแล้วถลกหนังไปขาย บางคราวก็ถลกหนังทั้งเป็น
  5. อสิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
  6. สัตติโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นหอก
  7. อุสุโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
  8. สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
  9. ทุติยสูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
  10. กุมภัณฑเปรต คือ เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
  11. คูถกูปนิมุคคเปรต คือ เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
  12. คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระ
  13. นิจฉวิตถิเปรต คือ เปรตหญิงที่ไม่มีหนังห่อหุ้มและมักถูกแร้ง เหยี่ยว อีกา และ นกตะกรุมจิกทึ้งอยู่ตลอดเวลา กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ประพฤติตนนอกใจ ไปคบชู้อยู่กับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีของตนเอง ทำร้ายและฆ่าสามีจนถึงชีวิตโดยปราศจากหิริและโอตตัปปะ
  14. ทุคคันธเปรต คือ เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
  15. โอกิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อยังมีชีวิตนั้น ได้ทำร้ายหรือฆ่าคนตายด้วยการใช้ถ่านเพลิงร้อน
  16. อสิสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ มีอาชีพไม่บริสุทธิ์ คือ เป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจร มีนามว่า หาริกะ อยู่ในพระนครราชคฤห์น
  17. ภิกขุเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับพระ ไม่น่าเกลียดน่ากลัว กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งยังมีชีวิตเป็นพระที่ไม่บำเพ็ญธรรมถึงจะบวชรักษาศีลแต่ประพฤติผิด เช่นมั่วสีกา มีความโลภในเรื่องของเงินทอง และ มีเรื่องทะเลาะกับญาติโยมอยู่ตลอด
  18. ภิกขุณีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับภิกษุณี กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตชนิดนี้ เพราะเมื่อครั้งยังมีชีวิตเป็นภิกขุณีที่ไม่รักษาศีล ชอบทำผิดศีล ข้อ 3 และ ข้อ 4 เช่น เช่นมั่วผู้ชาย พูดจาให้เขาแตกแยกกัน รวมไปถึงชักชวนให้ทำบุญในทางที่ผิด
  19. สิกขมานเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสิกขมานา
  20. สามเณรเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณร
  21. สามเณรีเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่างเช่นเดียวกับสามเณรี

ที่มา : wikipedia

  ถมนคร เครื่องถมเมืองนคร