เชื่อหรือไม่? ว่าประเทศไทยในอดีตนั้นเคยมี ‘กระทรวงเวทมนตร์’ แต่ใช้ในชื่อว่า ‘กระทรวงแพทยาคม’ หรือบางบันทึกเรียกว่า ‘ศาลกระทรวงแพทยา’ ซึ่งเป็นกระทรวงที่เกี่ยวกับสอบสวนพิจารณาโทษของผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการกระทำทาง ’ไสยศาสตร์’ โดยเฉพาะ
เนื่องจากในสมัยนั้น ไม่ว่าชนชั้นใดก็ต่างเชื่อในเรื่องของ ไสยศาสตร์ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูง พระภิกษุสงฆ์ หรือประชาชนทั่วไป
โดยกระทรวงนี้ จะมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมเป็นตุลากร มีหน้าที่สอบสวนพิจารณาโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์ เรื่องคุณไสยโดยเฉพาะ โดยจะมีอำนาจหน้าที่พิจารณาความ การถูกกล่าวหาว่าเป็นกระสือกระหัง ทำเวทมนต์อาคม ใส่ว่านยา ทำเสน่ห์ยาแฝด หรือควายธนู โดยผู้เสียหายไม่ถึงตาย หรือคดีพราหมณ์โยคีเป็นโจทก์จำเลยหาความกัน เป็นต้น
ชื่อกระทรวง “แพทยาคม” มาจากคำว่า แพทย + อาคม
คำว่า “แพทย” มีความหมายว่า หมอรักษาโรค
คำว่า “อาคม” มีความหมายว่า เวทมนตร์
รวมกันมีความหมายว่า “หมอรักษาโรคเกี่ยวกับเวทมนตร์”
“กระทรวงแพทยาคม” ไม่ปรากฎแน่ชัดว่าเกิดขึ้นสมัยใด แต่ตามประวัติศาสตร์ถูกกว่าถึงในหลายรัชสมัย เช่น พระเจ้าอู่ทอง พระเจ้าทรงธรรม แต่ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ได้ปรากฏ “กระทรวงแพทยาคม” เพื่อชำระคดีผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปด้วยวิทยาคมเอาไว้
เพิ่มเติมคำว่า “วิทยาคม” มาจาก วิทย + อาคม
คำว่า “วิทย” มีความหมายว่า ความรู้
คำว่า “อาคม” มีความหมายว่า เวทมนตร์
รวมกันมีความหมายว่า “ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์”
(ส่วน “วิทยาคม” ที่เห็นในชื่อโรงเรียนนั้น คำว่า “อาคม” มีอีกความหมาย คือ การมาถึง ดังนั้น วิทยาคม, พิทยาคม ในชื่อโรงเรียน จึงมีความหมายว่า “การมาถึงของความรู้”)
กลับมาต่อดีกว่า “กระทรวงแพทยาคม” หรือ “ศาลกระทรวงแพทยา” จะมีผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมเป็นตุลากร มีหน้าที่สอบสวนพิจารณาโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการกระทำทางไสยศาสตร์ เรื่องคุณไสยโดยเฉพาะ โดยจะมีอำนาจหน้าที่พิจารณา ความกล่าวหาว่าเป็นกระสือกระหัง ทำเวทมนต์อาคม ใส่ว่านยา ทำเสน่ห์ยาแฝดยาเมา รีดลูก โดยผู้เสียหายไม่ถึงตาย หรือคดีพราหมณ์โยคีเป็นโจทก์จำเลยหาความกัน เป็นต้น ถ้าความเกิดในหัวเมือง “ขุนหมื่นกรมแพทยาหัวเมือง” เป็นผู้พิจารณา
แต่ “กระทรวงแพทยาคม” หรือ “ศาลกระทรวงแพทยา” มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น จนกระทั้งถูกลดบทบาทและอำนาจจาก “ศาลกระทรวงแพทยา” เป็น “ศาลกรมแพทยา” ในรัชสมัยรัชการที่ ๓ ปี ๒๓๘๐ และในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ เกิดการปฏิรูปหลายอย่างในแผ่นดิน หนึ่งในนั้นคือ “การปฏิรูปศาล” เนื่องจากเกิดวิกฤตทางการศาล และท้ายที่สุด “ศาลกรมแพทยา” ถูกยุบลง เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๓๔ เพราะถูกมองว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย ประกอบกับเวลานั้น รัชกาลที่ ๕ มีนโยบายพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมชาติมหาอำนาจ จึงต้องยกเลิกกระทรวงนี้ไปในที่สุด
ที่มา หนังสือเรื่อง “ThaiLand Only เรื่องแบบนี้ มีแต่ไทย ๆ” หน้าที่ ๗๙ พิมพ์ครั้งที่ ๑