ท่านพระฉันนะ เป็นผู้ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นสหชาติทั้ง ๗ คือเป็น ๑ ใน ๗ ที่เกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า เติบโตมาด้วยกัน และก็เป็นสหายเพื่อนเล่น และก็ทำหน้าที่คอยรับใช้พระโพธิสัตว์มาตลอด ในวันที่พระโพธิสัตว์ออกมหาภิเนษกรมณ์ คือออกบวช นายฉันนะก็ติดตามไปด้วย จึงมีความคุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์เป็นอย่างยิ่ง
จึงได้หยิ่งทะนงตนเองว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ค่อยยอมรับการว่ากล่าวตักเตือนจากพระรูปอื่น แม้พระพุทธเจ้าจะไม่เคยให้ท้ายเลยก็ตาม
พระฉันนะชอบด่าพระอัครสาวกสองท่านคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ว่า
“เราเมื่อตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (ออกบวช) กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลาย ในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว แต่บัดนี้ ท่านพวกนี้ เที่ยวกล่าวว่า เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคคัลลานะ พวกเราเป็นอัครสาวก”
พระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็เรียกมาว่ากล่าวตักเตือน พระฉันนะก็นิ่งรับฟัง พอพระพุทธเจ้าเสด็จไป ก็เริ่มด่าพระอัครสาวกอีก แม้พระองค์จะเรียกมาตักเตือนอีกจนถึงครั้งที่ ๓ ว่า
“พระอัครสาวกทั้งสองรูปเป็นกัลยามิตรที่ดี เป็นผู้ประเสริฐ จงคบกัลยาณมิตรเพื่อนผู้ดีงามเช่นนี้เถิด”
แม้กระนั้น พระฉันนะได้ฟังโอวาทแล้วก็ยังไม่เชื่อฟัง ยังคงด่าพระอัครสาวกอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่บรรดาพระภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย ขณะที่เรายังคงอยู่ พวกเธอคงไม่อาจอบรมสั่งสอนฉันนะได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว จึงจะสามารถทำได้ พระอานนท์จึงกราบทูลถามว่า จะให้ทำเช่นไรต่อพระฉันนะ
พระองค์จึงได้ตรัสว่า ให้ลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะ
พระฉันนะยังคงทำพฤติกรรมแบบเดิม ๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ก่อนปรินิพพานว่า ขณะที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ พระฉันนะจะไม่เชื่อฟัง แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ให้พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทำพรหมทัณฑ์พระฉันนะ นั่นก็คือการที่พระภิกษุไม่ต้องเสวนา ไม่ต้องพูดคุย ไม่ต้องสั่งสอนพระฉันนะ หากพระฉันนะอยากทำอะไรก็ให้ทำไป ซึ่งเวลานั้นพระฉันนะ อยู่ที่วัดโฆสิตาราม นครโกสัมพี
หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ก็ประชุมกัน โดยมีพระอานนท์เป็นประธานในการประชุม และได้ถ่ายทอดคำสั่งของพระพุทธเจ้าที่มีต่อพระฉันนะให้ทุกคนได้รับรู้ และให้พระทั้งหมดจำนวน ๕๐๐ รูป เดินทางไปที่วัดโฆสิตาราม นครโกสัมพี และเริ่มการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ โดยการไม่สุงสิง ไม่ใส่ใจ ไม่ทำสังฆกรรมด้วย ไม่พูดคุยด้วย ถ้าไม่จำเป็น ไม่คบค้าสมาคม จนกว่าพระฉันนะจะเปลี่ยนพฤติกรรม
จากนั้นเมื่อพระภิกษุทั้งหมดเดินทางไปถึง ได้เรียกพระฉันนะมานั่งท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งเมื่อพระฉันนะอยู่ต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์มาก ๆ ก็ไม่กล้าอวดดี ซึ่งเมื่อพระอานนท์กล่าวว่า จะทำการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ พร้อมอธิบายความหมายให้พระฉันนะได้ฟัง ก็ทำให้พระฉันนะสลบหมดสติสลับกับฟื้นถึง ๓ ครั้ง
จากการที่พระฉันนะถูกลงพรหมทัณฑ์ ทำให้พระฉันนะแยกตัวออกจากหมู่สงฆ์และเข้าป่าไปทำสมาธิค้นหาตัวเอง ซึ่งระหว่างนั้นทำให้พระฉันนะเกิดนิมิตเห็นภาพตนเองขณะที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนมชีพอยู่ แต่ตนเองก็ไม่ฟังคำตักเตือน
ซึ่งตอนนี้ตนเองก็อายุ ๘๐ ปีแล้ว ที่ผ่านมามัวแต่ทำอะไรอยู่ พระฉันนะได้เฝ้าถามตัวเองไปมาจนสามารถคิดได้และสามารถบรรลุหลักธรรมถึงขั้นอรหันต์ได้
จากนั้นพระฉันนะจึงกลับไปพบพระอานนท์และขอให้พระอานนท์เลิกลงพรหมทัณฑ์ ซึ่งพระอานนท์ได้ตอบกลับว่า เมื่อพระฉันนะบรรลุถึงอรหันต์แล้วการลงพรหมทัณฑ์ก็จะยกเลิกไปเอง
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พึงหลีกหนีจากคนไม่ดี พึงเข้าสนทนาเรียนรู้จากบัณฑิตผู้ฉลาดทรงคุณธรรม และการเป็นคนว่ายากสอนยากมักเป็นอยู่ลำบาก เมื่อตนไร้ที่พึ่งพิง จึงควรประพฤติตนให้ว่าง่ายสอนง่าย
เรียบเรียง //