นางสิริมา…โสเภณีผู้บรรลุธรรม
ในสมัยพุทธกาล ณ เมืองเวสาลี หรือ ไวศาลี (Vaishali) เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากแคว้นหนึ่งในบรรดา 16 แคว้นของชมพูทวีป เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาลเศรษฐกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองมาก
สิ่งที่น่าสนใจคือ หนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองนี้
คือโสเภณีชื่อดังคนหนึ่ง ชื่อนางอัมพปาลี
ถูกแต่งตั้งเป็นนาง “นครโสภิณี”
คือเป็นหญิงงามเมืองหรือโสเภณีประจำเมืองเวสาลี
เรียกว่าความงามของนาง
สวยสะคราญโฉมหาผู้ใดเทียบได้ยาก
มีศิลปะวิทยาการชั้นสูง ร้องเพลงเพราะ ฟ้อนรำสวย
เอาใจเก่ง เข้าใจการปรนนิบัติผู้ชายเป็นอย่างดี
ทำให้ค่าตัวนางสูงมาก
ผู้ชายใดอยากครอบครองนาง
ต้องจ่ายค่าตัวสูงถึง 50 กหาปณะ
หรือคิดเป็นเงินบาทคือ 130,000 บาท!
เรียกได้ว่าต้องเป็นระดับเศรษฐีเท่านั้น
ถึงจะครอบครองนางได้
สมัยนั้น เหล่าเศรษฐีที่เป็นชายฉกรรจ์
กระทั่งกษัตริย์เมืองน้อยเมืองใหญ่
ต่างมีความฝัน มีความปรารถนา
ที่อยากมาสัมผัสนางซักครั้งในชีวิตทั้งนั้น
ทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจมากมาย
เดินทางมาที่เวสาลี เพื่อได้ร่วมอภิรมย์กับนาง
กลายเป็นนำพาให้เศรษฐกิจการค้าการขาย
พลอยรุ่งเรื่องเติบโตขึ้นมาด้วย
เพราะนางอัมพปาลี เป็น magnet นั่นเอง
ว่ากันว่า หนึ่งในแขกของนางอัมพปาลี
คือพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์
เห็นเวสาลีเจริญเพราะมีนางนครโสภิณี
จึงเอาไอเดียไปใช้ที่เมืองของตัวเองบ้าง
กลับเมืองไป ประกาศตามหาหญิงงามที่สุด
ก็ได้สตรีสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง ชื่อนางสาลวดี
เป็นนางนครโสภิณีคนแรกแห่งเมืองราชคฤห์
นางสาลวดี ถูกฝึกถูกเทรนศิลปะวิทยาการต่างๆ
ด้วยพื้นฐานทุนเดิมนางสวยมากอยู่แล้ว
พอโดนฝึกเคี่ยวกรำอย่างหนักจนเป็นผู้หญิงที่มีงามพร้อม
ทั้งสวยทั้งฉลาดทั้งมารยาทงาม
เล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงไพเราะ พูดจามีเสน่ห์
ทำให้นางค่าตัวแพงกว่านางอัมพปาลีอีก
คือใครอยากเชยชมนาง ต้องจ่ายขั้นต่ำถึง 100 กหาปนะ หรือเกือบ 260,000 บาท!!
แพงกว่านางอัมพปาลีถึง 2 เท่า!
จากคนฐานะธรรมดา
กลายเป็นร่ำรวยเงินทองขึ้นมา
นางเลยใช้ชีวิตประมาท
ทำให้ตัวเองเผลอผิดพลาด ปล่อยตัวเองตั้งครรภ์ขึ้นมา
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของอาชีพนาง
ถ้าให้ใครรู้ ความ popular ของนางก็จะลดลง
นางจึงปิดบังไว้ พอเด็กคลอดออกมาเป็นผู้ชาย
ก็รีบให้สาวใช้เอาไปทิ้งทันที
แต่เด็กผู้ชายนั้นกลับมีบุญ
มีเจ้าชายมาเจอ เลยเก็บไปเลี้ยง
เด็กน้อยผู้ถูกทิ้งคนนั้น โตขึ้นมาสนใจศึกษาการแพทย์
จนสุดท้ายกลายเป็น หมอชีวกโกมารภัจจ์
หมอที่เก่งที่สุดในพระไตรปิฎก
เป็นหมอประจำตัวพระพุทธเจ้า
กลับมาที่นางสาลวดี
พอทิ้งลูกไปแล้ว ก็กลับมาเป็นหญิงงามเมืองเหมือนเดิม
มีแขกเหรื่อไปมาหาสู่ไม่ขาด
แต่สุดท้ายนางก็พลาดท้องอีก
แต่คราวนี้ลูกออกมาเป็นผู้หญิง
นางคิดว่าไหนๆนางก็เริ่มแก่ละ
เลี้ยงเด็กคนนี้ไว้สืบทอดตำแหน่งนางนครโสภิณีของนางดีกว่า นางเลยเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า “นางสิริมา”
พอเติบใหญ่ นางสิริมาก็ครองได้ตำแหน่งนางนครโสภิณีแห่งเมืองราชคฤห์ต่อจากแม่ของนางสมใจ
นางสิริมาเป็นสตรีที่งามล้นเหลือยิ่งกว่าแม่ของตน
ความงามของนาง ถูกว่ากันว่างามจนใครเห็นก็เป็นต้องตกตะลึง อีกทั้งโตขึ้นมากับแม่ที่เป็นโสเภณีที่งามและค่าตัวแพงที่สุดในชมพูทวีป
จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาในทุกแง่ทุกมุม
ทุกเทคนิคเคล็ดลับในการเป็นโสเภณีตั้งแต่ยังเด็ก
ด้วยความครบทั้งภายนอกภายในแห่งความเป็นโสเภณีจึงทำให้นางมีค่าตัวสูงถึง 1,000 กหาปณะ หรือ 2.6 ล้านบาท!!
แพงกว่าแม่ของนาง นางสาลวดีถึง 10 เท่า!
จะได้เชยชมนางครั้งหนึ่ง ต้องจ่ายถึง 2.6 ล้านเลย
นางจึงเป็นมหาเศรษฐีณีผู้ร่ำรวย
บ้านไม่รู้ใหญ่แค่ไหน แต่ใหญ่พอที่จะมีบริวารคนรับใช้ถึง 500 คน!
จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้
Job ใหญ่ครั้งหนึ่งที่นางออกงาน
ในลักษณะที่ค่อนข้างประหลาดคือ
มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นางอุตตรา
มาจ้างนางสิริมาให้ไปบำเรอสามีตัวเอง
เป็นงานเหมา 15 วัน 15 คืน
ซึ่งต้องจ่ายสูงถึง 15,000 กหาปณะ หรือ 39 ล้านบาท!
สาเหตุที่นางอุตตราทำเช่นนั้น
คือพื้นฐานเดิมทางเกิดในครอบครัวที่ใจบุญสุนทาน
จิตใจใฝ่หาทางธรรมมาโดยตลอด
เคยฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า
พ่อแม่ของนาง รวมทั้งตัวนางอุตตราเองก็บรรลุธรรมระดับโสดาบัน
แต่พอแต่งงานมาในครอบครัวเศรษฐีเหมือนกัน
บ้านสามีโดยเฉพาะตัวสามี
เป็นคนไม่ใส่ใจธรรมะเลยแม้แต่น้อย
ใช้เงินกินบุญเก่าวาสนาเก่าไปวันๆ
และปฏิเสธไม่ให้นางอุตตราทำบุญทำทานใดๆทั้งสิ้น
นางเลยไม่เคยได้ตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม
เหมือนตอนก่อนแต่งงาน
นางอุตตราจึงขอสามี
จะจ้างนางสิริงาม หญิงงามที่สุดในเมืองด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเอง
มาปรนนิบัติสามี 15 วัน
และขอช่วงเวลานี้ จะนิมนต์พระสงฆ์มารับบิณฑบาต
และถือศีลแปด ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
สามีได้ยินชื่อเสียงความงามของนางสิริมามานาน
เลยไม่ปฏิเสธ ยิ่งเจอตัวจริงยิ่งหลงใหล
และขอบใจภรรยายิ่งนัก
นางสิริมาก็มาบริการท่านเศรษฐีสามีของนางอุตตรา
สามีก็เบิกบานกาย นางอุตตราก็เบิกบานใจ
เพราะได้ทำบุญใส่บาตร
นิมนต์มารับบิณฑบาตตลอด 15 วัน
ได้ถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมสมดังตั้งใจ
วันเวลาผ่านไปจนถึงใกล้วันท้ายๆ
นางสิริมาด้วยอยู่มาหลายวัน
อยู่ๆเลยเกิดความหึงหวง
อยากเป็นใหญ่ในเรือนแทนนางอุตตรา
เลยตรงเข้ามา ตักน้ำมันร้อนๆจะมาราดนางอุตตรา
นางอุตตราเห็นดังนั้น
จึงรีบทำสมาธิรีบเข้าฌานในจังหวะเร่งด่วนและเฉพาะหน้าสุด ทำจิตรวมเป็นสมาธิเพื่อแผ่เมตตาไปยังนางสิริมา โดยอธิษฐานจิตในใจว่า
“หญิงนี้เป็นสหายของเรา และเป็นผู้มีคุณกับเรา
ถ้าไม่มีเขา เราคงไม่ได้ทำทานและฟังธรรมเช่นนี้
ถ้าเรามีความโกรธ ขอให้น้ำมันร้อนๆนั้นลวกเรา
แต่เราถ้าไม่มีความโกรธ ขออย่าให้น้ำมันลวกเราเลย”
สุดท้ายน้ำมันร้อนเดือดจัด
ที่นางสิริมามาราดเทใส่หัวนางอุตตราก็กลายเป็นน้ำเย็น
บ่าวไพร่นางอุตตรารีบเข้ามาจับตัวนางสิริมา
และจะรุมทำร้ายให้จงหนัก
นางอุตตรารีบเอาตัวเข้าไปขวาง
ไม่ให้บ่าวไพร่รุมทำร้าย
นางสิริมาเห็นดังนั้นก็รู้สึกตัว รู้สึกผิดสุดๆในใน
เลยเข้าไปกราบที่เท้านางอุตตรา
ขอโทษด้วยความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจ
อยากให้นางยกโทษให้
นางอุตตราบอกว่า…
“พรุ่งนี้พระพุทธเจ้าจะเสด็จมารับบิณฑบาต
ให้ไปขอโทษพระองค์แทน
ถ้าพระองค์ยกโทษให้
เราก็จะยกโทษให้”
รุ่งเช้าพอพระพุทธเจ้าเสด็จมาและทราบเรื่อง
ทรงยกโทษให้นางสิริมา
และทรงยกย่องนางอุตตราเป็นเอตทัคคะ
ผู้เป็นเลิศด้านยินดีในฌาน
และเทศนาเป็นพระคาถาว่า
“อักโกเธนะ ชิเน โกธัง
อสาธุง สาธุน่ ชิเน
ชิเน กะทะริยัง ทาเนนะ
สัจเจนาลิกะวาทินัง”
แปลเป็นไทยได้ว่า…
พึงชนะคนโกรธด้วยความใจเย็น
พึงชนะคนร้ายๆด้วยความดี
พึงชนะคนขี้เหนียวด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหวด้วยการพูดความจริง
จบเทศนานี้และพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงนางสิริมาก็บรรลุโสดาบันทันที กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณี
เข้าทางธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรท
ใส่บาตรพระ 8 รูปทุกวันเป็นประจำ
โดยถวายของอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาได้
นางสิริมาทำแบบทุกวัน จนเวลาผ่านไป..
มีภิกษุรูปหนึ่ง คุยกับพระอีกรูปที่เพิ่งไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมามา พระท่านนั้นเล่าถึงอาหารอันประณีตและความงดงามของนางสิริมา
ภิกษุรูปนี้ แค่ได้ฟังเรื่องเล่า
ฟังคำบรรยายความงามของนางสิริมา
ก็เกิดความหลงรักแค่เพียงจากเรื่องเล่า
ทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัวจริง
วันพรุ่งนี้เลยขอไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนาง
เพื่อได้เห็นนางสิริมาตัวจริงกับตาตัวเอง
รุ่งขึ้น ภิกษุรูปนี้ก็ได้เดินทางไปรับบิณฑบาต
แต่วันนั้นนางสิริมาไม่สบายหนัก
แทบจะลุกจากห้องไม่ไหว
แต่ก็พยายามลุกออกมา
โดยที่หน้าตาไม่ได้แต่ง
เพราะไม่ไหวจริงๆ
ภิกษุผู้ลุ่มหลงยิ่งเห็นตัวจริงของนางก็ยิ่งหลงรัก
คิดในใจว่า “ขนาดป่วยไม่สบาย
ยังงดงามขนาดนี้
นี่ถ้าไม่เจ็บไข้ ได้แต่งตัวตามปกติ
จะสวยงามปานนางฟ้าแค่ไหนเนี่ย”
ภิกษุผู้นั้นก็เกิดราคะ
ลุ่มหลงในนางสิริมา
กลับกุฏิไปก็ไม่ฉัน ฉันอาหารไม่ลง
ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์
เอาแต่เฝ้าคิดถึงนางสิริมา
ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน
ตัดกลับมาที่นางสิริมา
วันนั้นนางไม่สบายหนักจริงๆ
และการใส่บาตรในครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายของนาง
เพราะตกเย็นนางก็เสียชีวิตจากความเจ็บป่วย
พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องภิกษุผู้ลุ่มหลง
และการตายของนางสิริมา
จึงขอให้เก็บศพนางสิริมาไว้อย่างดี
ห้ามให้หมาให้นกมาแทะ
จนเวลาผ่านไปถึงวันที่ 4
ศพเริ่มเน่าเหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้ง
มีน้ำหนองน้ำเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆ
ผิวพรรณแตกและเริ่มร่างกายเริ่มพอง
สภาพคือแทบดูไม่ได้ ใครเห็นเป็นจะอ้วก
วันนั้นพระเจ้าพิมพิสารประกาศให้ชาวเมืองทุกคนมาประชุมกันที่หน้าศพนางสิริมา
พระพุทธเจ้าและคณะภิกษุสงฆ์ก็เดินทางมาที่นี่
ภิกษุผู้ลุ่มหลงไม่รู้ว่านางสิริมาตายแล้ว
ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จไปหา
แค่ได้ยินคำว่า “สิริมา”
เลยรีบผุดลุกจากกุฏิ เดินทางตามไปกับหมู่พระภิกษุ
เมื่อทุกคนมาพร้อมกัน
พระพุทธเจ้าให้พระราชาประกาศขายศพนางสิริมา
เท่ากับราคาค่าตัวของนาง 1 วันคือ 1,000 กหาปณะ
ปรากฏไม่มีใครซื้อ
เลยให้ประกาศลดลงเรื่อยๆ
จาก 1,000
เหลือ 500
เหลือ 250
เหลือ 200
เหลือ 100
เหลือ 50
เหลือ 20
เหลือ 10
เหลือ 1
ก็ยังไม่มีใครเอา
จนกระทั่งประกาศให้ฟรีๆเลย
ก็ยังไม่มีใครเอา
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเทศนาสั่งสอน
โดยใช้ศพของนางสิริมาเป็นอุบาย
ว่าให้ทุกคนดูนะ นี่คือผู้หญิงที่งามที่สุดของเมืองนี้
ใครจะเชยชมนาง ต้องจ่ายถึง 1,000 กหาปณะ
แต่วันนี้พอนางตายไปแล้ว
ผ่านเวลาไปแค่ไม่กี่วัน
ความงามของนางสิ้นและเสื่อมลง
ไม่เหลือเค้าเดิมความงามใดๆอีก
และเมื่อหมดซึ่งความงามแล้ว
ยกให้เปล่าๆก็ไม่มีใครเอาแม้แต่คนเดียว
พอเทศนาจบ ภิกษุผู้ลุ่มหลงผู้นั้นก็บรรลุโสดาบัน
ส่วนนางสิริมาพอตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา
และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่หน้าศพของตัวเอง
ได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้นเป็นระดับอนาคามี
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องของนางสิริมา
มี 3 อย่างด้วยกัน
เรื่องแรกคือ
คนเราต่อให้ทำผิดแค่ไหน
เมื่อรู้ตัวแล้ว ยังมีโอกาสกลับตัว
และเข้าถึงธรรมได้เสมอ
ไม่มีคำว่าช้าหรือสายเกินไป
นางสิริมาประกอบอาชีพที่ไม่ดีงามนัก
หมิ่นเหม่ต่อการผิดศีลข้อสามตลอดเวลา
ถูกแม่เลี้ยงดูมาอย่างผิดทิศผิดทาง
จนกระทั่งเกือบจะได้ฆ่าคนไปแล้ว
แต่เมื่อรู้ตัวเองว่าหลงผิด
แล้วกลับมาตั้งจิตในธรรม
ไม่มีอะไรสายไปทั้งนั้น
เรื่องที่สอง
คือ อำนาจของกิเลส
เราเรียนรู้จากภิกษุที่ลุ่มหลง
เป็นภิกษุแท้ๆ อยู่ในเพศสมณะ
แต่กลับปล่อยใจให้พ่ายต่อกิเลสราคะ
อำนาจของกิเลสมีฤทธิ์แรงจริงๆ
ขนาดสมณะเพศยังหลุดได้
แถมหลุดไปไกล
คนธรรมดาอย่างเราๆ
จึงต้องเฝ้าใจเราให้ดี
อย่าปล่อยให้กิเลสมีอำนาจมาเหนือใจเราได้
เรื่องที่สามคือเรื่องความไม่เที่ยงของร่างกาย
ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง
เป็นสิ่งที่เรายืมมาจากธรรมชาติชั่วคราว
สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด
การเสื่อมของร่างกาย
จริงเป็นเรื่องที่แน่นอนและธรรมดาที่สุดในโลกนี้
แต่หลายครั้งกับหลายคนที่เป็นทุกข์
เพราะอยากยึดไว้ ไม่อยากให้เสื่อม
บางคนทุกข์เพราะหน้าเริ่มมีตีนกาขึ้น
บางคนทุกข์เพราะเป็นโรคต่างๆที่เกิดจากร่างกายเสื่อมถอย
บางคนทุกข์เพราะพยายามไปยื้อ ให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
บางคนก็ทุกข์ก็ไปยึดติดลุ่มหลงในกายของคนอื่น
ร่างกาย เป็นสิ่งที่เสื่อมแน่นอน
เดี๋ยวนี้มีศาสตร์ชะลอวัย แต่ก็ทำได้แค่ชะลอ
เทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเสื่อมลง
แทนที่เราจะทำใจและเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
และคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครหนีได้
มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
แต่พวกเรากลับ…
พยายามฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติ
และทุกข์กับความเป็นจริงของธรรมชาติ
ความจริงที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ…
ต่อให้ร่างกายภายนอก
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
สวยงามแค่ไหน
พอตายไปไม่กี่วัน
ทุกคนจะกลับมาหน้าตาเหมือนกันหมดอยู่ดี
อยู่อย่างเข้าใจมัน เข้าใจธรรมชาติ
เข้าใจความเป็นไป และอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย
เจริญพร
ขอบคุณข้อมูล : #เพจธรรมะย่อยมาแล้ว