สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น…
“…วันหนึ่ง ขณะที่ธุดงค์ไปพักที่วัดถ้ำแสงเพชร ซึ่งอยู่ไกลจากอำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ในสมัยนั้น) พอสมควร ปรากฏว่ามีโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้มีหน้ามีตาของอำเภอ และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักปฏิบัติ มานั่งร้องไห้ต่อหน้าหลวงปู่ หลวงปู่ก็ยังคงนั่งเฉยอยู่ จนเมื่อคุณหญิงสร่างโศกลงบ้าง ท่านก็ถามว่า…
” เป็นอะไรล่ะ จึงนั่งร้องไห้ ”
โยมผู้นั้นเล่าว่า รถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ถูกขโมยไปแล้ว หลวงปู่ก็นั่งเงียบ เผอิญมีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับญาติ พอกราบหลวงปู่เสร็จก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน หลวงปู่นั่งคอยจนเขาพอพูดได้ ก็ถามด้วยคำถามเดิมว่า ” เป็นอะไรไปล่ะ ”
เขาก็ตอบว่า ” เมียตายสองคน ลูกตายสองคน ” (เผอิญชายคนนี้มีภรรยาสองคนอยู่ในบ้านเดียวกัน)
หลวงปู่ชา ” เป็นอะไรตายล่ะ ”
โยมผู้ชาย ” กินเห็ดเบื่อตายครับ ”
หลวงปู่หันไปถามโยมผู้หญิงที่ยังน้ำตาซึม แต่ก็นั่งเงียบฟังโยมผู้ชายเล่าอยู่ด้วย และพูดว่า “แลกกันไหมล่ะ” “ดูซิ ของเขาลูกเมียตายตั้งสี่คน ของโยมรถหายคันเดียว โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ มีความปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ไม่อยากให้รถหาย มันก็หาย ไม่อยากให้ลูกเมียตาย ก็ตาย ใครจะห้ามได้ ชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ ใครอยากล่ะ โยมอยากให้รถหายไหม โยมอยากให้ลูกเมียตายไหม ”
ทั้งคู่ก็ตอบรับหลวงปู่ว่า ” ไม่อยากค่ะ / ครับ ”
หลวงปู่กล่าวต่อไปว่า ” เป็นอย่างนี้แหละ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ให้เราพิจารณาดูทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา คนก็เหมือนกัน เราไม่จากเขา เขาก็จากเรา มันอยู่ที่ใครไปก่อนใครเท่านั้นเอง บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา บางทีเราก็ไปก่อนวัตถุ บางทีคนใกล้ชิดเราเขาก็ไปก่อน บางทีเราก็ไปก่อนเขา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของกรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราย่อมมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นผู้ติดตามให้ผล ไม่ว่าบุญหรือบาป ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องรับผลกรรมนั้นโดยแน่นอน
สำหรับโยมผู้ชายนั้น โยมผู้หญิงกับลูกเขาทำกรรมกับเรามาแค่นี้ เขาตายไปเขาก็ไม่ขออนุญาตเรา ไม่บอกเรา ไม่ได้เขียนใบลา เขาก็ตายไป
โยมผู้หญิงก็เช่นกัน รถคันนี้มันทำกรรมกับโยมมาแค่นี้ รถมันก็ไม่บอกเราก่อนว่ามันจะถูกขโมยแล้วนะ อยู่ๆ มันก็หายไป ดังนั้นให้เราเห็นว่าเป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา
เราเกิดมาเป็นอะไร เกิดที่ไหน เกิดมากี่ครั้งๆ โลกก็เป็นเช่นนี้เอง
เราเองต่างหากที่ไปอุปาทานว่า นี่รถของเรา นี่ลูกนี่เมียของเรา รถมันไม่เคยบอกนะว่ามันเป็นของเรา เราไปซื้อมันมาตกแต่ง มารักมันเอง ที่จริงรถมันไม่ได้เป็นของใคร มันเป็นของธรรมชาติ ที่ไหลไปตามเหตุปัจจัย มนุษย์ไปสมมุติขึ้นมา แล้วยึดว่าเราเป็นเจ้าของ เมื่อมันหายไป ให้เราคิดว่า นั่นเป็นการคืนกลับสู่ธรรมชาติ
โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ลูกเมียก็เสียไปแล้ว พิจารณามองให้เห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่พอสร่างโศกก็ไปหามาใหม่ เป็นการเพิ่มทุกข์ขึ้นมาอีก เราควรทำบุญให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนา แผ่ให้ผู้ตายบ้าง เราเองก็ต้องตาย ไม่แน่ว่าเมื่อไร ขอให้เข้าใจสัจธรรมของธรรมชาติ…”
คติธรรมองค์หลวงปู่ชา สุภัทโท จากหนังสือ สุดสายธรรม
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ เป็นธรรมทานทุกๆท่าน