“ความเป็นจริงของชีวิต”เคยได้ยินบ่อยมากว่า..”จะเรียนไปทำไม… สุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย งานที่น้อยคนจะรู้จัก ? แถมเงินเดือนไม่ได้มากมายอะไร”
คำถามนี้จะได้คำตอบที่ทำให้กลุ้มใจมากเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความคาดหวังที่คิดว่า “เรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต”
แต่ถ้าลองเปลี่ยนเป็นความคิด “ฉันทำงานอะไรก็ได้ ไม่สำคัญว่าจะตรงสาย หรือไม่ก็ตาม” มันอาจดูเป็นประโยคของคนแพ้ ในสายตาบางคน แต่ถ้าคิดดูแล้วมันได้ความสบายใจเยอะกว่าการตั้งคำถามแบบแรก เพราะ “ความเป็นจริงของชีวิต” คือ
1. มนุษย์ทุกคนมีความสามารถในตัวเอง “แตกต่างกันไป” เราไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนกันหมด
แม้แต่ในคนคนเดียวยังมีความสามารถที่หลากหลาย เช่น คนเป็นจบ หมอ..แต่ก็เล่นดนตรีเก่ง ทำอาหารก็เก่ง
คนเป็นศิลปิน..แต่ก็คำนวณเก่ง ขับรถเก่ง ในครั้งหนึ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์ ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอโตขึ้นอีกหน่อย มันก็ต้องมีบ้างที่เรานึกอะไรขึ้นมา จนต้องไปหาอ่านปัดฝุ่นตำราอีกครั้ง
ข้อ 2. สิ่งที่เราเก่ง..ไม่จำเป็นต้องออกมาในรูปแบบวิชาชีพ
เช่น หมอ วิศวกร พยาบาล มันอาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้ เป็นความรู้อะไรก็ได้ที่เราเอาจริงกับมัน
เช่น การทำอาหาร การจัดสวน การออกแบบไม่อย่างงั้น เราคงไม่เห็นนักธุรกิจหน้าใหม่หลายคนผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดหรอก
ทุกความรู้ที่เราได้รับไม่เคยสูญเปล่า แค่เรามองไม่เห็นค่ามันเอง “ลองนึกดูให้ดีสิ..”
ข้อ 3. สิ่งที่เราเรียนมาเป็น 10 เป็น 100 มันคือ “การหล่อหลอม” หลายวิชาไม่ได้สอนเราทางตรง แต่ให้เราค่อยๆ ซึมซับข้อดีแต่ละอย่างไปเอง เช่น ฝึกความอดทน ฝึกความประณีต ฝึกทักษะการเข้าสังคม
ข้อ 4. มนุษย์เราควรมีทางเลือกให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ “มีแผนสำรอง”เพื่อไม่เป็นการปิ ดกั้นตัวเองจนเกินไป เช่น ถ้าวุฒิที่เราเรียนมามันหางานยาก
จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำกว่านี้หางานไปก่อน ถ้าเราไม่ได้อาชีพนี้ เรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆ ก่อน ความฝัน สิ่งที่ใช่ มันไม่ควรเป็นสิ่งที่ได้ดั่งใจในทันที
ข้อ 5. “ในรั้วโรงเรียน” ต่อให้เราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งแค่ไหน ขอบเขตความรู้มันก็เป็นเพียงความรู้ในรั้วเท่านั้น โลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น ยังต้องรู้เห็นอีกมาก เรียนรู้กันอีกยาว ลองผิดลองถูกกันอีกเยอะ
ดังนั้น จะมาฟันธงว่าเรียนมาสายวิทย์ ต้องทำงาน ในสายวิทย์ เรียนสายภาษาต้องทำงาน ด้านสายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอไป มันเป็นเรื่องธรรมดามาก
ที่ต้องแลกกับความเหนื่อย ความพยายามหลายเท่าตัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หากจะพบว่า หมอบางคนแต่งเพลงได้ บางคนเรียนวิชาชีพแต่มาเป็นศิลปิน
บางคนเรียนไม่จบแต่ประสบความสำเร็จ “ความรู้” เราได้รับมาถึงจะไม่ได้ใช้ในทันทีก็ไม่ควรเสี ยดาย
ขึ้นชื่อว่า “ความฝัน” ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้
ใช่ว่า…วันหน้าจะเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ ว่ารู้ตัวดีหรือไม่… ว่าทำอะไรอยู่ และพร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงชีวิตรึเปล่า..
อย่าลืมว่าโลกเรากลม และมีหลายมิติ ใช่ว่าจะต้องมองเพียงด้านเดียว
ขอบคุณความสุข : k h a m s u k s . c o m