“อุบายในการหยุดคิด” วันหนึ่งมีคนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาถามท่านว่ายทวนน้ำว่า
โยม : หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนว่า “คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงได้รู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้” หมายความว่าอย่างไรครับ?
ว่ายทวนน้ำ : คำว่า “รู้” ที่หลวงปู่ดูลย์พูดในที่นี้นี้ตรงกับคำว่า “ว่าง” ให้ใช้คำว่าว่างแทนค่าลงไป
โยม : พอแทนค่าลงไปแล้วจะได้ประโยคว่า “คิดเท่าไหร่ก็ไม่ว่าง ต่อเมื่อหยุดคิดจึงว่าง แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงว่าง” ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ?
ว่ายทวนน้ำ : การ “หยุดคิด” นั้นบางครั้งต้องอาศัยความคิด จะเรียกว่า “ข้อคิดเพื่อหยุดคิด” ก็ได้ มันคือการใช้ความคิดเพื่อพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษหรือให้เห็นความจริงของเรื่องนั้น
โยม : ยังไงบ้างครับ?
ว่ายทวนน้ำ : การพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษ เช่น ถ้าโยมรู้ว่ายาขวดนี้เป็นยาพิษโยมจะกินไหม?
โยม : ไม่กินครับ
ว่ายทวนน้ำ : ทำไมถึงไม่กิน?
โยม : ก็ผมรู้ว่ากินแล้วตายผมก็ถึงไม่กิน
ว่ายทวนน้ำ : นี่เท่ากับโยม “หยุดคิดเรื่องกินยาพิษขวดนี้” ได้แล้ว ความคิดที่โยมจะหยิบยาขวดนี้มากินจะดับไปจากหัวโยมเลย การที่ความคิดในการไปกินยาขวดนี้ดับไปเพราะโยมใช้ความคิดพิจารณามันจนเห็นทุกข์เห็นโทษของมันอย่างแท้จริงแล้วโยมถึงไม่กิน
เมื่อโยม “หยุดคิดในเรื่องใดได้ก็จะว่างจากเรื่องนั้น” ตอนนี้โยมว่างจากการหยิบยาขวดนี้มากินแล้ว ที่ว่างก็เพราะโยมหมดสิ้นความคิดที่จะกระทำ เห็นไหมว่าการทำให้ไม่คิดหรือหยุดคิดนั้นบางทีต้องอาศัยความคิดพิจารณามันให้เห็นทุกข์เห็นโทษแล้วจะเกิดการหยุดคิดตามมา
“การหยุดคิดนี่แหละคือสติ สติกับการหยุดคิดมีความหมายเดียวกัน ใช้แทนค่ากันได้” ตอนนี้โยมมีสติในเรื่องการไม่หยิบยาขวดนี้มากินตลอดไป ถามว่าเมื่อโยมรู้แล้วว่ามันคือยาพิษโยมยังต้องมานั่งบริกรรมไหมว่า “ฉันต้องไม่หยิบยาขวดนี้มากินๆๆ”?
โยม : ไม่ต้องมานั่งกำหนดจิตบริกรรมว่าจะไม่กินมันแล้วครับ
ว่ายทวนน้ำ : ใช่ เพราะโยมรู้แล้วไง โยมเห็นทุกข์เห็นโทษของมันแล้ว รู้ความจริงของมันแล้ว เรื่องนี้มันจึงถูกติดตั้งเป็นสติในตัวโยมตลอดไปแล้วว่าจะไม่หยิบยาขวดนี้มากิน เรื่องใดก็ตามที่เป็นสติถาวรตลอดไปแล้วก็จบไปเลยในเรื่องนั้น หมดสิ้นความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นตลอดไป
ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ใช้วิธีนี้ในการติดตั้งสติหรือการหยุดคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้แก่สาวกของท่าน ท่านจะดูว่าคนไหนยังต้องแก้ตรงไหน ท่านก็จะไปให้ “ข้อคิดเพื่อหยุดคิด” เพื่อทำให้เขามีสติในเรื่องนั้น ท่านจะติดตั้งสติหรือการหยุดคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ จนสมบูรณ์ ยิ่งหยุดคิดหรือติดตั้งสติในเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้มากเท่าไหร่จิตก็ว่างมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ปราศจากความคิด ความวิตกกังวล ความวุ่นวายจากสิ่งต่าง ๆ มันก็กลับสู่ความว่างไปเรื่อย ๆ เอง
สังเกตสิเวลาท่านสอนท่านไม่ได้สอนอะไรมากเลย ไม่มีวิธีปฏิบัติอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวายเหมือนที่ยุคหลังประดิษฐ์ประดอยกันขึ้นมา ท่านแค่คอยจับผิดคอยขนาบสาวกของท่านให้หยุดคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนช่างปั้นหม้อที่คอยปั้นหม้อใบหนึ่งขึ้นมาให้เป็นหม้อที่สมบูรณ์
โยม : ดูมันง่ายมากเลยนะครับ เป็นวิธีการที่ดูไม่มีอภินิหารอะไรเลย ไม่ต้องใช้ฤทธิ์อะไรเลย
ว่ายทวนน้ำ : การภาวนาจริง ๆ แล้วถ้าโยมจับหลักได้นะเป็นเรื่องง่ายมาก มันไม่มีหลักการอะไรที่ยุ่งยากเลย ไม่จำเป็นต้องได้ฌานขั้นนั้นขั้นนี้ด้วย แต่ต้องใช้การพิจารณาหาข้อเสียของตนเองให้มากที่สุด “ให้พิจารณาว่าตอนนี้เรากำลังบ้ากับสิ่งใดอยู่ เรายึด เราหลง สิ่งใดอยู่” เมื่อเห็นข้อเสียของตนเองแล้วจึงลงมือแก้ไขปรับปรุงข้อเสียของตนเองจนหยุดคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ใหม่ ๆ ต้องใช้ความอดทน ต้องฝืนใจตัวเองบ้าง แต่พอผ่านจุดนั้นไปได้แล้วโยมจะได้ความเคยชินใหม่ในการหยุดคิดมา เช่น
ตอนแรกโยมกินข้าวสามมื้อ โยมก็ลองฝืนใจไม่กินมื้อเย็น ค่อย ๆ ปรับลดปริมาณมื้อมา มื้อนี้เกินจำเป็นนะ มื้อนี้แม้ไม่กินร่างกายก็อยู่ได้นะ ใหม่ ๆ ก็จะหิวหน่อย สักพักร่างกายจะปรับได้ ต่อไปความคิดเรื่องกินเกินจำเป็นจะลดลงดับลง จากที่เมื่อก่อนจิตไม่ว่างเพราะคิดว่ามื้อเย็นจะกินอะไร พอหยุดกินมื้อเย็นได้ความว่างในส่วนนี้ก็กลับมา เพราะมันหยุดคิดในเรื่องการแสวงหาในการกินมื้อเย็นแล้ว ให้เริ่มแก้ไขจากเรื่องกิเลสหยาบ ๆ ไปก่อน เป็นการตีกรอบให้ตัวเอง จำกัดกรอบความคิดที่เกินจำเป็นแก่การดำรงชีวิตอยู่
แต่วิธีการติดตั้งสติหรือการหยุดคิดได้เร็วที่สุดคือโยมต้องหาครูบาอาจารย์ที่ท่านสามารถมาจับผิดโยมได้ กิเลสหยาบ ๆ โยมอาจจะแก้ไขเองได้ แต่กิเลสขั้นละเอียดโยมต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้รู้ที่แท้จริง เพราะลำพังกำลังของโยมเองจะแก้กิเลสตัวละเอียดไม่ได้ ต้องใช้ความละเอียดของครูบาอาจารย์ในการจับผิด เว้นเสียแต่โยมจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือปัจเจกพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้โดยไม่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์
โยม : ที่พระอาจารย์บอกว่าให้เริ่มจากเรื่องหยาบ ๆ ก่อน เรื่องหยาบ ๆ ที่ว่านี้เช่นอะไรบ้างครับ?
ว่ายทวนน้ำ : ลองใช้เรื่องศีล ๕ ศีล ๘ มาเป็นแนวทางในการตีกรอบกิเลสตัวเองดูก็ได้
อย่างศีล ๕ นั้นเป็น “แนวทางการหยุดคิดที่จะไปก่อกรรมจากการเบียดเบียนผู้อื่น” ในเรื่องนี้ให้โยมเข้าใจทุกข์โทษของมันว่าถ้าโยมทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนนั้นวิบากกรรมจะตกได้แก่โยมทั้งสิ้นในภายหน้า อย่างเรื่องฆ่าสัตว์นี่ถ้าโยมเห็นโทษของการกระทำดังกล่าว กลัวบาปให้มาก มันจะหยุดคิดในเรื่องฆ่าสัตว์ไปเลย ต่อไปไม่ว่าเห็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยแค่ไหนความคิดที่จะฆ่ามันก็จะไม่มีอีกเลย มันก็หยุดคิดได้อีกเรื่องนึง ต่อไปก็พิจารณาเพื่อหยุดคิดในเรื่องอื่นต่อ
ส่วนศีล ๘ นั้นเป็น “แนวทางในการหยุดคิดที่จะสนองกิเลสส่วนเกินในการดำรงชีวิต” ศีลข้อ ๖ ๗ ๘ หรือข้อ ๓ ที่เพิ่มเติมเป็นอพรัมมจริยา นั้นเป็นเรื่องที่ว่าถึงแม้ไม่ทำร่างกายก็อยู่ได้ อย่างเรื่องบ้าแต่งตัวที่เกินจำเป็น ก็ลองพิจารณาดูสิว่าทุกวันนี้เราแต่งตัวโชว์คนอื่นมันได้อะไรบ้าง เดี๋ยวเสื้อสีใหม่ดีไซน์ใหม่ออกก็ต้องตามซื้อมันไม่จบไม่สิ้น ฟุ่มเฟือย วุ่นวาย พิจารณาข้อเสียของมันให้มาก พอหยุดคิดเรื่องบ้าแต่งตัวได้ต่อไปไม่ว่าเห็นเสื้อใหม่สวยแค่ไหน สีนี้ยังไม่มี เราก็จะไม่มีความคิดไปสนใจหรือไปซื้อมันแล้ว มันไม่มีค่าไม่มีหมายต่อเราอีกต่อไป ความคิดเรื่องบ้าแต่งตัวก็ดับไปอีกเรื่อง เราก็เช็คบิลความคิดไปได้อีกเรื่อง ให้เช็คบิลความคิดให้ขาดไปทีละเรื่อง เจตนารมณ์ของศีล ๕ ศีล ๘ ก็มุ่งหวังในเพื่อให้คนเกิดการหยุดคิดในเรื่องต่าง ๆ
สำหรับคนที่ยังอยู่ทางโลกและไม่มีครูบาอาจารย์เอาแค่แก้พฤติกรรมของตัวเองให้อยู่ในแนวของศีล ๕ ศีล ๘ ได้อย่างสมบูรณ์นี่ก็ถือว่าเก่งแล้ว โยมลองคิดดูว่ามีสักกี่คนที่ทำได้? ยังไม่ต้องไปมองถึงขั้นสูงหรอก แค่ปรับเบสิคพื้นฐานในการละกิเลสหยาบ ๆ แค่นี้เอาให้ได้ก่อน ถ้ากิเลสหยาบ ๆ แค่นี้ยังละไม่ได้โยมไม่มีทางยกระดับจิตขั้นสูงได้ เพราะจิตมันจะไม่มีกำลังในการเกิดปัญญาในการดันกิเลสตัวละเอียดให้หลุด
โยม : เหมือนง่ายแต่ยากครับ
ว่ายทวนน้ำ : ใหม่ ๆ ต้องฝืนทุกคน แต่ถ้าโยมกล้าหักดิบกับความคิดโยมจะไปได้เร็ว ถ้าโยมทำได้จิตมันจะเบาโล่งสบาย สงบ ไม่วุ่นวาย ไม่ดิ้นรนกวัดแกว่ง มันจะไม่ค่อยเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นมา ถ้ามีอารมณ์ขึ้นมาก็จะดับลงได้เร็ว เพราะกิเลสตัวหยาบมันถูกขจัดออกไปเรื่อย ๆ จิตจะมีกำลังของมันเอง
“การเพิ่มกำลังให้แก่จิตในการเกิดปัญญาในการดันกิเลสให้หลุดนั้นมีที่มาจากการ ‘ละกิเลส’ ” ขอให้โยมจับหลักนี้ไว้ให้ดี ยิ่งละกิเลสได้มากเท่าไหร่ จิตยิ่งยกระดับมากเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับกำลังฌาน การทำฌานได้สูงเป็นคนละเรื่องกับการยกระดับจิต ดังนั้น อย่าดูว่าใครนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมเก่ง ให้ดูว่าใครหยุดบ้า หยุดยึด หยุดหลง หยุดดิ้นรน หยุดแสวงหาได้มากกว่ากัน ที่ต้องพูดตรงนี้เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันเยอะมาก เขาไปเข้าใจว่าการนั่งสมาธิเดินจงกรมคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ เลยพากันไปนั่งสมาธิเดินจงกรมแต่กลับไม่ยอมละกิเลส ไม่ปรับปรุงแก้ไขข้อเสียของตนเอง ทุกวันนี้คนเลยนั่งสมาธิแบบฌาน แต่โลภ โกรธ หลง ยังอยู่ครบเหมือนเดิม มันยังไม่ถูกถอดถอนออก ยังไม่หยุดคิด แค่ถูกกดความคิดไว้เท่านั้น
ขอให้จับหลักให้ดีว่า การยกระดับจิตขึ้นอยู่กับการปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้เลิกบ้า เลิกยึด เลิกหลงกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อย ๆ ละกิเลสหรือหยุดคิดได้มากเท่าไหร่จิตจะยกระดับได้มากเท่านั้น ให้วัดกันตรงนี้ อย่าเอาการนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมมาใช้เป็นตัววัดในการยกระดับจิตเพราะมันเป็นเพียงเครื่องกดอารมณ์ของผู้ปล่อยวางไม่ได้เท่านั้น
โยม : ขอพระอาจารย์เปรียบเทียบให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ?
ว่ายทวนน้ำ : สมมติตัวละครเป็นโยมกับฉันก็แล้วกัน ฉันพิจารณาทุกข์โทษของการกินที่เกินจำเป็น จนฉันเห็นโทษของมันแล้ว หลังจากนั้นก็เลยกินข้าวเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น อาจจะกินแค่มื้อเดียว ส่วนโยมยังกินข้าวหลายมื้ออยู่ โยมหวังจะกินข้าวมื้อเดียวบ้างแต่ยังปล่อยวางความคิดในเรื่องนี้ไม่ได้ พอโยมหิวโยมเลยต้องนั่งสมาธิเพื่อกดอารมณ์กดเวทนาความหิวไว้กดไปกดมาจนนิ่งได้ฌาน ถามว่าคนไหนคือคนที่หยุดคิดในเรื่องกินที่เกินจำเป็นได้?
โยม : พระอาจารย์ครับ
ว่ายทวนน้ำ : ใช่ เพราะความคิดในเรื่องการกินที่เกินจำเป็นมันดับไปแล้ว มันถูกเช็คบิลไปแล้ว มื้อต่อไปไม่ว่าเห็นอาหารน่ากินแค่ไหน มีประโยชน์แค่ไหนก็จะไม่กินอีก ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้น แต่โยมยังหยุดคิดไม่ได้เลยต้องนั่งสมาธิกดอารมณ์กดเวทนาไว้กดจนนิ่งได้ฌาน แต่ฌานไม่ใช่ตัววัดผลของการยกระดับจิต การยกระดับจิตมันวัดกันที่ใครหยุดคิดในเรื่องต่าง ๆ ได้มากกว่ากัน คนที่หยุดคิดในเรื่องใดได้ก็คือคนที่ปล่อยวางในเรื่องนั้นได้แล้ว ละกิเลสละความคิดในเรื่องนั้นได้แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องใช้สมถะมากดอารมณ์อีกต่อไป แต่สำหรับผู้ที่หยุดคิดไม่ได้ก็เลยต้องใช้สมถะมากดอารมณ์ สมถะเป็นเพียงการหยุดคิดเพียงชั่วคราวแต่เรื่องนั้นยังไม่ถูกถอดถอนออกหรือยังไม่สามารถหยุดคิดอย่างถาวรได้นั่นเอง
การนั่งสมาธิหรือการเดินจงกรมนั้นจึงไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่เป็นแค่เครื่องอยู่เพื่อกดอารมณ์กดความคิดไว้เท่านั้น ที่ต้องกดก็เพราะยังหยุดคิดไม่ได้ การหยุดคิดต่างหากที่เป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง ซึ่งบางครั้งก็ต้องใช้ความคิดในการพิจารณาหาทุกข์หาโทษเพื่อมาหยุดคิดเหมือนกัน พอหยุดคิดในเรื่องใดได้ก็ว่างจากเรื่องนั้น หยุดคิดได้หมดก็จบกัน นี่แหละคือ “การภาวนา” คือการทิ้งสิ่งที่ยึดที่อยากที่หลง ปรับปรุงแก้ไขข้อเสียของตัวเองไปเรื่อย ๆ จนความคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ดับลง ๆ คงเหลือเพียงแค่ความคิดในการการกระทำสิ่งต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น ในแต่ละวันให้ใช้ความคิดต่อสิ่งต่าง ๆ ต่อเรื่องต่าง ๆ ให้น้อยที่สุด
ซึ่งถ้าอยู่ทางโลกจะทำยากเพราะภาระหน้าที่หลายอย่างมันบีบบังคับให้หยุดคิดในเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้ ถ้าออกจากสังคมได้ เช่น ออกมาบวชจะเอื้อต่อการหยุดคิดได้มากกว่า เพราะภาระหน้าที่ต่าง ๆ ทางโลกมันไม่มี เท่ากับว่าเราก็ไม่มีการใช้ความคิดกับเรื่อง ๆ นั้นไปโดยอัตโนมัติ ทีนี้เมื่อถึงเวลาจิตลงล็อกหลังจากที่หยุดคิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็จะเกิดปัญญามีกำลังในการดันกิเลสตัวหยาบตัวละเอียดให้หลุดออกกลายเป็นการบรรลุธรรมขึ้นมา
ข้อเข่า โดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายบานพับ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือออกกำลังกาย การดูแลข้อเข่าอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันการเสื่อมก่อนวัย และลดปัญหาอาการปวดหรือข้ออักเสบที่อาจเกิดขึ้นได้ อาหารบำรุงข้อเข่าให้เสื่อมช้าลง ปลา ที่มีโอเมก้า 3 เช่น โดยเฉพาะอาหารทะเล เช่น… อ่านเพิ่มเติม..
• ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระเถระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์มาก คู่กับพระสารีบุตร ผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระมหาโมคคัลลานะ มีชื่อเดิมว่า "โกลิตะ" เป็นบุตรพราหมณ์ท้ายบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์ โกลิตมาณพ เป็นเพื่อนสนิทกับอุปติสสมาณพ หรือ พระสารีบุตร… อ่านเพิ่มเติม..
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อโมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ (พระสารีบุตร) เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย… อ่านเพิ่มเติม..
บทสวดมนต์ประจำวันเกิด แบบเต็มและแบบย่อทั้ง 7 วัน ตามกำลังวัน สวดก่อนนอนชีวิตราบรื่น ร่มเย็น เสริมสิริมงคล ประโยชน์ของการสวดมนต์ก็คือทำให้จิตใจเราผ่องใส และจิตใจสงบมากขึ้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ พระประจำวันเกิด คือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร บทสวดมนต์บูชาพระประจำวันอาทิตย์… อ่านเพิ่มเติม..
อาการท้องผูก ท้องอืด ถึงแม้จะไม่ส่งผลอันตรายมากถึงชีวิตแต่ก็สร้างความอึดอัดไม่สบายท้อง หรืออาจลุกลามกลายเป็นโรคอันตรายในอนาคตได้ และที่สำคัญอาการเหล่านี้มักส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง! ผลไม้หลายชนิดอุดมไปด้วยใยอาหาร ทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น ผลไม้ 9 ชนิดช่วยขับถ่าย กากใยสูง แก้อาการท้องผูกชนิดไหนบ้างนั้น มาดูกันเลย 1.มะละกอสุก เป็นผลไม้ที่มีกากใยสูงและหาทานง่าย… อ่านเพิ่มเติม..
เปรต "Preta" หมายถึงผี ตามความเชื่อในหลายศาสนาทั้ง ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ และศาสนาเชน ตามความเชื่อนั้น เปรตเป็นผีได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสกว่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มาก โดยต้องทรมานกับความหิวโหยและความเจ็บปวดทางกาย ความเชื่อเรื่องเปรตมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางศาสนาในประเทศอินเดียตั้งแต่ยุคโบราณ และเริ่มแพร่กระจายสู่สังคมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก คำว่า "Preta"… อ่านเพิ่มเติม..
This website uses cookies.