“วันสมาธิโลก” World Meditation Day ภัยที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติก็คือ “สงคราม” ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้นมาเอง และตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกนี้ ก็ยังไม่เคยมียุคใดว่างเว้นจากสงครามอย่างเด็ดขาดได้เลย คำว่า “สันติภาพ” จึงเป็นสิ่งที่ชาวโลกพากันแสวงหามาโดยตลอด
วันสมาธิโลกเกิดขึ้นจาก การปรารภถึงเหตุการณ์อันเป็นโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อเครื่องบินของสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมือง ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในคราวเดียวถึงกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุมขององค์กร ยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก จึงมีมติให้วันดังกล่าวของทุกปีเป็นวันสมาธิโลก
เพื่อกระตุ้นเตือนให้ชาวโลก หันมาสร้างสันติภาพด้วยวิถีทางที่สงบปราศจากความ รุนแรง และรณรงค์ให้ชาวโลกหันมาให้ความสำคัญ กับการนั่งสมาธิ เพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในจิตใจ ของมวลมนุษยชาติ อันจะเป็นทางมาของการอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ได้อย่างผาสุกสืบไป
“วันสมาธิโลก” เพื่อเป็นวันรวมใจของชาวพุทธและชาวโลกทั้งหลายมานั่งสมาธิ เพื่อให้เป็นมรณะสติเตือนใจ และมุ่งที่จะให้เกิดสันติภาพของโลกที่แท้จริงและยั่งยืน
“ฝึกสมาธิ”เป็นประจำ มีผลช่วยทำให้สุขภาพจิตดี เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ป้องกันโรคหัวใจ กระตุ้นให้ร่างกายทำลายเซลล์ที่มีปัญหาและเซลล์มะเร็งอีกด้วย
องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ ๖ สิงหาคมของทุกปีเป็นวันสมาธิโลก เป็นวันรวมใจของชาวพุทธและชาวโลก ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ โดยหลายประเทศทางตะวันตกได้นำสมาธิ (Meditation) ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวพุทธไปฝึกปฏิบัติ
จากผลการศึกษาวิจัยให้ผลตรงกันว่าการทำสมาธิ จะช่วยให้คลื่นสมองที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานเป็นระเบียบขึ้น และหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ช่วยให้ร่างกายสดชื่น จิตใจสงบ มองโลกในแง่ดี ไม่ฟุ้งซ่าน ลดความเครียด เป็นคนมีเหตุผล และมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งต่อการงานและการเรียน