กอปภ.ก. แจ้ง 8 จังหวัดภาคใต้ เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 25 – 28 พ.ย.63
24 พ.ย. 63 15.30 น. กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แจ้ง 8 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 25 – 28 พฤศจิกายน 2563 โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็วเครื่องมืออุปกรณ์ประจำพื้นที่เสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศ และปฏิบัติตามประกาศเตือนภัยอย่างเคร่งครัด
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง กล่าวว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาพอากาศ ปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ ประกอบกับศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก ได้มีประกาศฉบับที่ 3 (71/2563) ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 เวลา 11.00 น. แจ้งว่า บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้มรสุมตะวันออก เฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น
รวมทั้งหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างใกล้เกาะบอร์เนียว สหพันธรัฐมาเลเซีย มีแนวโน้มจะเคลื่อนตัวทางตะวันตก ผ่านสหพันธรัฐมาเลเซีย ส่งผลให้ภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ปริมาณฝนสะสมอาจทำให้เกิดสถานการณ์อุทกภัย สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างจะมีกำลังแรง ทะเลมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จึงได้ประสาน 8 จังหวัดภาคใต้ เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 25 – 28 พฤศจิกายน 2563 ดังนี้
พื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมขัง 8 จังหวัด ได้แก่
ชุมพร (อำเภอพะโต๊ะ อำเภอหลังสวน และอำเภอละแม)
สุราษฎร์ธานี (อำเภอบ้านตาขุน อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอท่าฉาง อำเภอคีรีรัฐนิคม อำเภอพนม อำเภอวิภาวดี อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ และอำเภอดอนสัก)
นครศรีธรรมราช (อำเภอขนอม อำเภอช้างกลาง อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร อำเภอท่าศาลา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอปากพนัง อำเภอทุ่งสง อำเภอฉวาง อำเภอพระพรหม อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอพิปูน อำเภอสิชล อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอชะอวด อำเภอพรหมคีรี อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอนบพิตำ และอำเภอลานสกา)
พัทลุง (อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอควนขนุน อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอศรีบรรพต อำเภอบางแก้ว อำเภอป่าพะยอม อำเภอเขาชัยสน อำเภอปากพะยูน อำเภอกงหรา อำเภอตะโหมด และอำเภอป่าบอน)
สงขลา (อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ อำเภอสะเดา อำเภอควนเนียง อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอรัตภูมิ อำเภอสิงหนคร อำเภอบางกล่ำ อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอนาทวี อำเภอเทพา อำเภอเมืองสงขลา อำเภอจะนะ อำเภอหาดใหญ่ และอำเภอนาหม่อม)
ปัตตานี (อำเภอปะนาเระ อำเภอยะหริ่ง อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอสายบุรี อำเภอแม่ลาน อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอไม้แก่น อำเภอยะรัง อำเภอมายอ อำเภอกะพ้อ อำเภอหนองจิก และอำเภอทุ่งยางแดง)
ยะลา (อำเภอกาบัง อำเภอบันนังสตา อำเภอกรงปีนัง อำเภอยะหา อำเภอเบตง อำเภอเมืองยะลา อำเภอธารโต และอำเภอรามัน)
นราธิวาส (อำเภอแว้ง อำเภอสุคิริน อำเภอสะไหงปาดี อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอจะแนะ อำเภอศรีสาคร อำเภอตากใบ อำเภอระแงะ อำเภอยี่งอ อำเภอรือเสาะ อำเภอเจาะไอร้อง อำเภอเมืองนราธิวาส และอำเภอบาเจาะ)
พื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์คลื่นลมแรง 4 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส รวมถึงสั่งการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยในช่วงดังกล่าว โดยจัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและแนวโน้มสถานการณ์ภัยต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่ริมแม่น้ำลำคลอง ที่ลาดเชิงเขา และพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล
อีกทั้งจัดชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT) รถปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันที ตลอดจนประสานหน่วยงานในพื้นที่ อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างการรับรู้และแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบสถานการณ์ภัย แนวทางการปฏิบัติตน และการอพยพไปยังจุดปลอดภัยผ่านทุกช่องทาง รวมถึงเน้นย้ำให้ดูและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะด้านการดำรงชีพในเบื้องต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยติดตามพยากรณ์อากาศ และสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามประกาศเตือนภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยสามารถติดต่อได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง