เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน การเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้น ทั้งการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) วันที่ 20 ธันวาคม 2563 และการเลือกตั้งอื่นๆ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมว่า การเลือกตั้งนายกอบจ.คาดว่าจะมีเม็ดเงินในการหาเสียงสู่ระบบประมาณ 30,000 ล้านบาท
เนื่องจากมีการแข่งขันสูง พรรคการเมืองต่างจะส่งตัวแทนลงเลือกตั้ง เพราะ อบจ.เป็นฐานเสียงสำคัญ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจปลายปีนี้ได้อีกทาง จากนั้นในช่วงต้นปี 2564 จะมีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คาดว่าจะมีเงินสะพัดช่วงหาเสียงอีกประมาณ 30,000 ล้านบาท น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีโอกาสกลับมาเป็นบวกได้ แต่จะเป็นเท่าไหร่ต้องดูปัจจัยสถานการณ์การเมืองและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จากนี้ก่อน
นายธนวรรธ์กล่าวว่า ขณะนี้ภาคเอกชนกำลังติดตามสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิด เพราะหากการชุมนุมยังต่อๆ ไปเรื่อยๆ ยืดเยื้อเป็นเดือนๆ อาจทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายมากกว่าเดิม กระทบต่อรายได้และการวางแผนธุรกิจในปีหน้า รวมถึงลดการหมุนเวียนของเงินจากมาตรการรัฐที่ได้ออกมาแล้วหรือกำลังออกก่อนปีใหม่ ลดลงเหลือเพียงหมุนแค่ 1-2 รอบ มูลค่าเหลือ 1.5-2 แสนล้านบาทจากเดิมควรเกิน 2-3 แสนล้านบาท ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2563 ที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเป็นบวก 2-3% และส่งผลดีต่อจีดีพีทั้งปี 2563 ติดลบน้อยเหลือ 4-5% จากเดิมคาดว่าจะติดลบ 7-8 % ก็จะทำให้ไตรมาส 4/2563 จีดีพีบวกแค่ 1% และจีดีพีทั้งปีนี้ติดลบเพิ่มเป็น 6-7% ถือว่าสถานการณ์ทางการเมืองเป็นตัวแปรสำคัญ