นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ราคายางยังคงอยู่ในแนวบวกอย่างต่อเนื่อง และทะลุแนวต้านสูงสุดในรอบ 3 ปี 8 เดือน คาดการณ์ว่าราคายางพาราจะสามารถพุ่งสูงแตะ 80 บาทต่อกิโลกรัม ในเร็ว ๆ นี้ ส่วนแนวต้านต่อไปที่คาดว่าราคายางพาราจะขึ้นไปได้ คือ 90-100 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2563 ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคารับประกันทุกตัว เนื่องจากเกิดน้ำท่วมและฝนตกหนัก ในจีนตอนใต้และเวียดนาม ส่งผลให้ผลผลิตทั่วโลกลดลง ส่วนไทยก็ประสบปัญหาฝนตกผลผลิตออกน้อยกว่า 10% แต่ตลาดโลกยังมีความต้องการไม่ต่างจากปี 2562 ที่ส่งออกได้ 4.35 ล้านตัน
นายณกรณ์ กล่าวว่า คาดภายในปี 2563 จะมีการส่งออกได้ประมาณ 4.46 ล้านตัน แต่ราคาที่ส่งออกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปีก่อน หรือมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 5.6 หมื่นล้านบาท หรือรวมมูลค่าส่งออกประมาณ 2.43 แสนล้านบาท จากปี 2563 ส่งออกได้ประมาณ 1.87 แสนล้านบาท ส่งผลให้ กยท.สามารถมีรายได้จากการส่งออก ประมาณ 8 พันล้านบาท จากสภาพอากาศในกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางที่มีฝนตกชุก และเกิดน้ำท่วม นอกจากนี้ ยังมีพายุโซเดลซึ่งเป็นพายุลูกใหม่ที่กำลังก่อตัว เป็นปัจจัยที่ส่งผลด้านราคายางให้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากการไล่ซื้อของผู้ประกอบการจากจีน ที่ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ขนาดเล็กมากขึ้น ทำให้มีการผลิตและใช้ยางรถยนต์ในจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปกติ
“ปกติช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ผลผลิตยางพาราในไทยจะออกสู่ตลาดจำนวนมาก ประมาณ 5.5 แสนตัน แต่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผลผลิตออกสู่ตลาด 4.41 แสนตัน ดังนั้น ความต้องการใช้จึงสูงกว่าผลผลิตอยู่ประมาณ 5 หมื่นกว่าตัน จึงเกิดปัญหายางไม่เพียงพอกับการส่งออกการไล่ซื้อจึงเกิดขึ้น ทำให้ราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนความต้องการยางในประเทศ ไม่ได้แตกต่างจากต่างประเทศ เพราะทั่วโลกยังมีความกังวลกับการระบาดของโควิด-19 ในรอบที่ 2 เครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือทำจากยางพารา จึงยังมีการผลิตเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง” นายณกรณ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสถานการณ์การซื้อขายยางพารา ณ ตลาดกลางยางพารา จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ราคายางแผ่นดิบรมควัน ชั้น 3 ราคา 77.72 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าราคารับประกันประมาณ 30% จากราคาประกัน 60 บาทต่อกิโลกรัม ราคาน้ำยางสด อยู่ที่ 68.50 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าราคาประกัน 20% จากราคาประกัน 57 บาทต่อกิโลกรัม
