การสวดมนต์เป็นการกล่าวสรรเสริญคุณอันไม่มีประมาณของพระรัตนตรัย และบทสวดก็เป็นพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งศักดิ์สิทธิ์มากอยู่แล้ว ดังนั้น คนสวดมนต์เองเลยพลอยศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยเพราะกล่าวแต่คำที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
การสวดมนต์ถ้าสวดด้วยความซาบซึ้งและเสื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยเปล่งเสียงออกมาเพื่อสรรเสริญพระคุณกล่าวถ้อยคำอันเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไป เสียงที่เปล่งออกจากใจให้ดังกังวาลนั้นจะมีอานุภาพแผ่ไพศาลไปยังสวรรค์และพรหมโลก บนโลกมนุษย์ก็ครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณหรือทำใจแผ่ให้ครอบคลุมทั้งโลกส่วนในพื้นล่างก็แผ่ไกลถึงอเวจีมหานรก การสวดเสียงดังต้องออกจากจิตที่เลื่อมใสและกอรปด้วยท่วงทำนอง วรรคตอนที่ถูกต้องไพเราะ
มาฟังพระมหาเถระผู้ทรงคุณธรรมคุณวิเศษหลวงปู่มั่น (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ท่านได้เทศน์สอนและเล่าเรื่องราวประสบการณ์ตรงให้ฟังเกี่ยวกับเสียงสาธุการและอานุภาพเสียงสวดมนต์ว่าสวดแบบไหน มีอานุภาพแผ่ไปไกลถึงภพทั้งสาม
อานุภาพการสวดมนต์ เสียงดัง สวดในใจ และเสียงสาธุการ สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่น พักอยู่บนดอยปะหร่อง (เชียงใหม่) กับพระอาจารย์มนู ตอนเช้าเที่ยวบิณฑบาต พอให้พรเสร็จ ท่านได้สอนให้ชาวบ้านกล่าวสาธุพร้อมกันด้วยเสียงสูง ท่าน (พระอาจารย์มั่น) เล่าเป็นเชิงตลกว่า มือทั้งสองข้างของเขาชูขึ้นข้างบนเหมือนบั้งไฟจะขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่างั้น
วันหนึ่ง ท่านนั่งพักในส่วนที่ทำเป็นที่พักกลางวัน มีเทพพวกหนึ่งมาจากเขาจิตรกูฏ มาถามท่านว่า “เสียงสาธุ สาธุนั้น สาธุอะไร สะเทือนสะท้านทุกวัน พวกเทพทั้งหลายได้ฟัง มีความสุขไปตาม ๆ กัน” ท่านมาพิจารณาว่า เสียงอะไร ที่ไหน จึงระลึกได้ว่า เสียงสาธุการของชาวบ้านตอนถวายทานนั่นเอง
พอรับทราบแล้วพวกเทพก็กล่าวว่า “เขาก็สาธุการด้วย” แล้วทำประทักษิณเวียนขวาลากลับไป ส่วนมากพวกเทพเขาจะทำอย่างนั้น ท่านพระอาจารย์มั่น เลยมาพิจารณาต่อได้ความว่า พุทธมนต์นั้นใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์เช้า เย็น หรือชาวพุทธทุกคน สวดมนต์ระลึกในใจมีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล สวดออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล
สวดมนต์เช้าเย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล สวดเต็มเสียงสุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพ และที่สุดอเวจีมหานรก ยังได้รับความสุข เมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์ผ่านลงไปถึงชั่วขณะชั่วครู่หนึ่ง ดีกว่า หาความสุขไม่ได้เลยตลอดกาล นี้คืออานิสงส์ของพระพุทธมนต์ ท่านพระอาจารย์มั่นว่าอย่างนี้
คักลอกจากเพจ “พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น”